[Fanfiction] Aqua(Sup)bat [Arthur Curry(Clark kent)/Bruce wayne] Annoying

“ก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ..แต่พวกเขาอยู่แบบนั้นมาหลายวันแล้ว”
‘อาเธอร์ เคอร์รี่’หรือดิ อควาแมนโพล่งขึ้นลอยๆเรียกความสนใจจากคนสามคนที่หมกมุ่นแต่ในเรื่องของตัวเองให้โงหัวขึ้นมาสนใจเขา

“แบบไหน..?”ไดอาน่ายืดตัวออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อถามและสบตากับอาเธอร์

“แบบ..บรูซก็เอาแต่ทำงานในห้องเปิด แถมซุปเปอร์แมนก็ชอบมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทักทายพวกเรานิดหน่อย แล้วก็เดินเข้าไปหมกตัวกับบรูซทั้งวัน สงสัยว่าถ้าโลกนี้ไม่มีใครเดือดร้อนเขาคงจะไม่ออกจากห้องนั้นไปตลอดชีวิตเลยล่ะมั้ง..”

จริงๆคำพูดนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย..

“ว่าแต่..นี่เราเป็นทีมเดียวกันแล้วใช่มั้ย? กับซุปเปอร์แมน”อาเธอร์กอดอกและสบตากับไดอาน่าตอบ

“อืม..ฉันคิดว่า.. คิดว่าคงเป็นอย่างนั้น”น้ำเสียงไดอาน่าดูไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบตัวเองนัก ซึ่งอาเธอร์เองก็มีสีหน้าตอบกลับประมาณว่า มีคำตอบอื่นมั้ย..?

“เขาถนัดฉายเดี่ยว..”

“เออ..ดูก็รู้”

“โอ้..โอ้..แต่ผมชอบเขานะ”แบร์รี่กล่าวแทรกขึ้นมาในวงสนทนาพร้อมกับรอยยิ้มเด๋อด๋ามองดูขัดลูกตา

“เขาดู..สุขุม อืม..ดูเท่ และเขาหล่อด้วยนี่ ใช่มั้ยเพื่อน!!”แบร์รี่กระแทกไหล่ของตัวเองกับหลังของวิคเตอร์เชิงขอความเห็น ซึ่งจริงๆมันทำให้เขาเจ็บมากกว่าจะสำราญ วิคเตอร์กวาดตามองพวกเขานิ่งๆก่อนจะให้ความเห็นของตัวเองบ้าง

“พวกคุณดูไม่ออกจริงๆเหรอ พวกเขาทั้งคู่ดูมีอะไรต่อกัน..?”พร้อมกันนั้นวิคเตอร์ก็หันขวับมาทางไดอาน่าและยักคิ้วให้ แบบ ผมรู้ว่าคุณรู้

“อย่าหวังอะไรจากฉันเลย..พวกเขารู้จักกันก่อนจะรู้จักฉันซะอีก”ไดอาน่าหลบเลี่ยงการตอบคำถาม

“ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ ที่รัสเซียหมอนั่นอารมณ์ดีตลอดทางขากลับเลยนี่.. แถมตอนซุปเปอร์แมนโผล่มาก็..เขาเรียกว่าอะไรนะ หน้าบานรึเปล่า?”อาเธอร์ยักไหล่

“โอเค..ผมจะถือว่าไม่ได้ยินอะไรเลยหลังจากประโยคที่ว่าเราเป็นทีมเดียวกัน”แบร์รี่รีบหันหลังกลับไปสนใจชุดของเขาต่อและพยายามทำเหมือนบทสนทนาก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น

“โอ้..เกิดเรื่องที่ธนาคารอีกแล้ว ฉันไปดีกว่า ไม่อยากให้คาเอลได้ยินเสียงสัญญาณก่อนฉัน ฉันคิดว่าเขาคงอยากจะอยู่ที่นี่ก่อน และ..วิคเตอร์ ฝากอยู่เป็นเพื่อนเจ้าชายเงือกน้อยเธอด้วยล่ะ เดี๋ยวเขาฟุ้งซ่าน”ไดอาน่าพูดติดตลกและเดินออกจากถ้ำค้างคาวที่ครึกครื้นไป

วิคเตอร์มองตามไดอาน่าซักพักแล้วหันมาหาหนุ่มทะเลที่นั่งจ๋องไม่มีอะไรทำ เขากล่าว

“ได้ยินที่เธอพูดแล้วนี่..อย่าฟุ้งซ่าน”

“ทำไมพวกนายถึงคิดว่าฉันฟุ้งซ่าน”อาเธอร์ขมวดคิ้ว

“อืม..ถ้าคุณดูความสัมพันธ์เขาทั้งคู่ออก ทำไมพวกเราจะดูคุณไม่ออกกัน”วิคเตอร์ตอบพร้อมๆกับมือจักรกลที่ไม่หยุดนิ่ง

“ฉันคิดว่าฉันเกือบจะเข้าใจประโยคตะกี้นะ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเข้าใจ..”อาเธอร์หันตัวเขาทั้งตัวและเดินมายืนหยุดที่โต๊ะยาว ตรงข้ามกับวิคเตอร์

“ก็ดีแล้วนี่..ไม่รู้น่ะดีแล้ว”

“กวนโมโหชะมัด”อาเธอร์นึกอยากจะใช้เท้าถีบขาโต๊ะให้ล้มกระจาย ติดก็แต่ว่าไม่อยากให้บรูซเดินออกมาจากห้องที่หมกตัวกับซุปเปอร์แมนพร้อมคำว่าอย่าพังของ

“จะว่าไปคุณบอกว่าคุณโสดนี่..”จู่ๆแบร์รี่ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆอาเธอร์แบบชั่วพริบตา ซึ่งคนที่ยังไม่ชินเห็นจะมีแค่อาเธอร์คนเดียวนี่แหละ

“ฉันบอกให้นายลืมๆมันไปซะ..”

“เหรอ ผมคิดว่าผมได้ยินแค่คำว่าถ้าเอาไปบอกใครต่อ..ซะอีก”แบร์รี่ยักไหล่ล้วงกระเป๋าและปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับของกินในมือที่อัลเฟรดคงจะเตรียมเอาไว้

“มันก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่นี่..”อาเธอร์หัวเสีย แต่ไม่รู้ว่าหัวเสียกับความลับของตัวเองที่ถูกรีรันหรือท่าทางยียวนของแบร์รี่กันแน่

“เถอะน่า.. อย่างน้อยคุณคงไม่คิดใช่มั้ยว่าการจะปลุกใครซักคนขึ้นจากความตาย มันไม่ใช่แค่เราจะใช้งานเขา โลกต้องเขา คุณเห็นแล้วนี่ เขาดึงดันแค่ไหน ลำบากจะตายถ้าต้องแข่งเรื่องคนรักกับซุปเปอร์แมน..ทำใจเถอะ”แบร์รี่เอ่ยพล่ามไม่หยุด ไม่สนใจว่าตอนนี้ดวงตาสีอ่อนกำลังจ้องมองเขาและอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ

“เฮอะ!!”อาเธอร์กระแทกตัวลงกับโซฟาแรงๆ ใจนึกอยากจะปฏิเสธสิ่งที่หนุ่มความเร็วพูดแต่ปากก็ไม่ขยับ นั่นสิ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบโต้อะไรออกไปดี จึงได้แต่นั่งขมวดคิ้วแผ่รังสีความอารมณ์ไม่ดีของตัวเอง

“เท่าที่คำนวณ ผมเองก็คิดว่าแทบไม่มีเปอร์เซ็นต์ที่คุณจะชนะซุปเปอร์แมนได้เลย เว้นเปอร์เซ็นต์นึงคือ..เขาตายอีกรอบ”วิคเตอร์กล่าวต่อแบบมาราธอน ซึ่งนั่นทำให้อีกสองคนที่เหลือหันมองวิคเตอร์แทบจะทันที

“อะไร..?”

“ก็แหม..นายพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ไง เดี๋ยวเขาก็ฆ่านายหรอก”แบร์รี่สั่นวาบขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง “ไม่ใช่ว่าถ้าเขาหันมาฆ่านาย ฉันจะไม่ช่วยนายนะ แต่ให้ตายเถอะ ภาพวันนั้นยังติดตาอยู่เลย เขามันกลับมาจากป่าช้าจริงๆ”

“หึ..”อาเธอร์ลุกขึ้นจากโซฟาหลังแบร์รี่ทิ้งตัวลงนั่งไม่กี่วินาที

“นั่นคุณจะไปไหนน่ะ..?”แบร์รี่เอ่ยถามทั้งของกินเต็มปาก

“ก็..ไปดูอะไรหน่อย”

แว้บเดียวแบร์รี่ก็ปรากฏตัวเพื่อขวางทาง

“ไม่เอาน่า คุณจะไม่ทำอย่างที่ผมคิด คือ..ถ้าคุณไม่ชอบที่ตัวเองโสดเดี๋ยวเราไปเดทกันมั้ย เรา3คนเลย..”

“นั่นเรียกเดทเหรอ..?”วิคเตอร์ถามแทรก

“นั่นล่ะเดท..”แบร์รี่หันกลับมา “ถึงผมจะไม่ชอบใจนักที่พวกเขาทำตัวเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามัน แต่คุณจะไม่เข้าไป..เป็นกขค อะไรเทือกนั้น..ใช่มั้ย?”

“…”อาเธอร์ไม่ตอบ เขาแค่ขมวดคิ้วหนักขึ้นซึ่ง80เปอร์เซ็นต์ความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้นของเขามันถูกบังด้วยเหล่าหนวดเคราครึ้มหนาทำให้มองๆไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ต่างจากทุกทีหรอก

“หึ..”แล้วอาเธอร์เดินหายออกไป แบร์รี่หันกลับมาทางวิคเตอร์เหมือนจะขอความเห็นหรืออะไรที่ควรทำ แต่วิคเตอร์เองก็ไม่ได้สบตาหรอก เขาไม่มีอะไรอยากจะพูดนี่

.
.
.

“เลิกทำหน้าแบบนั้นซักทีได้มั้ย..?”

ชายวัยกลางคนในชุดผ้าคลุมสีดำเอ่ยทักเมื่อหันมากี่ทีก็มองเห็นแต่เอเลี่ยนกำลังจ้องมองด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

“แบบไหนล่ะ..?”

ยัง..ยัง..ยังไม่หยุดอีก

“ลองสตาฟหน้าตัวเองแล้วไปส่องกระจกสิ..”

“อ่า..ผมเดาว่าคุณกำลังประหม่าและกำลังเปลี่ยนเรื่อง..”

“หยุดเดา”

“โอเค๊..”เอเลี่ยนยอมแพ้

[Fanfiction] Aqua(Sup)bat [Arthur Curry(Clark kent)/Bruce wayne] Ignorant

“เจ้าลืมเขาได้อย่างไรกัน..?”

ลูกแก้วสีน้ำตาลหันเหลือบไปตามเจ้าของคำถาม บรูซยกยิ้มคล้ายจะเยาะขึ้นหน่อยหนึ่ง พร้อมกันนั้นอาเธอร์กลับรู้สึกได้ว่าแรงบีบมือที่บีบตอบกลับเขานั้นแน่นขึ้นเป็นจังหวะ..จังหวะที่ไม่มั่นคงของเจ้าตัว

บรูซยังไม่ตอบซึ่งทำให้อาเธอร์อดใจร้อนไม่อยู่ทายออกไป

“หรือจริงๆเจ้าไม่ได้ลืมเขา..”

บรูซเสมองออกไปอีกทางที่ไม่มีอะไรน่ามองนัก อาเธอร์ดูออกว่าบรูซกำลังคิดอย่างอื่น แต่ก่อนจะอ้าปากพูดอะไรทำลายบรรยากาศบรูซก็ชิงพูดออกมาก่อน

“ถ้าฉันกำลังจะตอบว่างั้นล่ะ..”

อาเธอร์พ่นลมหายใจออกมาน้อยๆคล้ายจะล้อเลียนเพื่อปัดความรู้สึกที่ก่อตัวอยู่ในใจ เขารวบประคองฝ่ามือของบรูซด้วยมือทั้งสองข้างของตัวเองแล้วกล่าว

“ข้าไม่ใช่คนที่จะมานั่งใส่ใจเรื่องหยุมหยิม..”

เขาจูบไปที่นิ้วมือเรียวสวยนั้นเบาๆซึ่งมันทำให้บรูซอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูและใช้นิ้วมือนั้นลูบเบาๆไปตามหนวดเครายาวนุ่มลื่น

อาเธอร์คิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่เขาจะรับความรู้สึกที่เก็บตกและถูกกลั่นกรองมาจากเขาคนนั้นของบรูซผู้ซึ่งอาเธอร์เคยได้ยินเพียงแค่ชื่อเท่านั้น

ถึงแม้ว่าการมีความสุขจากการตายของคนๆนึงจะทำให้อาเธอร์แอบรู้สึกผิดในใจ แต่เขาก็เบือนหน้าหนีความสุขพวกนี้ไปไม่ได้ เขาถอนตัวจากความสุขนี้ไม่ได้…


เพราะงั้นเขาเลยไม่เคยคิดเลยว่าความสุขนั้นจะมีวันจบลง

เพราะเท่าที่เขารู้คือ..


มันไม่มีวันเป็นจริงได้

คนตายไม่มีวันฟื้นกลับคืนมาได้
อาเธอร์คิดเช่นนั้น

คิดมาโดยตลอด..


แต่ดวงตาสีน้ำตาลประกายยามที่จ้องมองบุคคลตรงหน้านั้นกำลังตอกย้ำอาเธอร์ราวกับเอาหมุดตอกลงหัวใจแดร็กคูล่าก็มิปาน แม้สารจะไม่ได้ส่งตรงมาสู่อาเธอร์แต่เขารับรู้ได้


นั่นของจริง..


เขารู้สึกเจ็บปวดที่ตอนนี้ไม่ได้ถูกสายตานั้นมอง รู้สึกแย่ที่ตอนนี้ไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้าง

เจ็บปวดที่สุดยามที่บรูซถูกพระเจ้านั่นแย่งชิงความสนใจไป..

[Fanfiction] Superbat [Clark kent/Bruce wayne] Feel

ก๊อก ก๊อก
“อัลเฟรด ใครมาน่ะ”

เจ้าของโครงร่างใหญ่ขาวซีดที่อยู่ในชุดสูทที่ค่อนข้างไม่เรียบร้อย ก็นะ นี่มันเวลาเลิกงานแล้วแต่เขายังไม่ได้จะเข้านอน นั้นทำให้บรูซยังคงนั่งทำงานอยู่ในสภาพแบบนี้ หลังจากเขาเอ่ยปากถามไปซักพักก็พลันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้พ่อบ้านของเขาขอตัวออกไปทำธุระ อาจจะกลับในตอนเช้า นั่นทำให้บรูซหัวเสียเล็กน้อยเนื่องจากเอกสารบนโต๊ะที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จคืนนี้ เขาปิดฝาปากกาหมึกซึมก่อนจะลุกออกจากห้องทำงาน ลงบันไดผ่านห้องนั่งเล่นไป แล้วหยุดยืนอยู่หน้าประตู

บรูซส่องตาแมวที่บานประตูแล้วก็ถึงบางอ้อ สิ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูคือชายหนุ่มที่คุ้นเคยในชุดนอนเสื้อกล้ามและกางเกงขายาว ซุปเปอร์แมนหรือคลาร์ก เคนท์นั่นเอง เสียแต่ท่าทางที่ผิดแปลกไปจากเดิม ดวงตาสีน้ำเงินสดมักจะเปล่งปลั่งตลอด แต่ตอนนี้สิ่งนั้นดูหม่นหมอง สายตาของคลาร์กผลุบต่ำเพื่อมองบนพื้นมากกว่าจะสนใจสิ่งที่อยู่ในระดับสายตาของเจ้าตัว นั่นทำให้จิตใจของบรูซว้าวุ่น เขาจับลูกบิดหมุนเปิดประตูประจันหน้ากับคลาร์ก
“คลาร์ก เกิดอะไรขึ้น นายมาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมนายอยู่ในสภาพแบบนี้เเนี่ย”

บรูซโวยวายเล็กน้อยก่อนจะสังเกตว่าคลาร์กอยู่ในคราบลูกหมาตกน้ำชัดๆ ผมลู่ลงเปียกปอนไปด้วยหยดน้ำพราว เสื้อผ้าเปียกโชกแนบชิดผิวหนัง บรูซพิจดูคนตรงหน้าก่อนจะกลืนคำถามร้อยพันลงในลำคอ เขาตัดสินใจเชื้อเชิญคนตรงหน้าเข้ามาภายในบ้าน

“คลาร์ก เข้ามาก่อนสิ มีแต่ชานะเพราะวันนี้อัลเฟรดไม่อยู่ นายอาจต้องทนเพราะฉันไม่ได้มีฝีมือมาก”

คลาร์กเดินตาบรูซต้อยๆเหมือนร่างไร้วิญญาณ เมื่อมาถึงห้องนั่งเล่นบรูซก็คว้าผ้าขนหนูแถวๆนั้นยื่นให้ร่างสูงใหญ่

“เอานี่ ฉันจะไปเอาชามาให้ ระหว่างนี้ก็ทบทวนตัวเองเพราะการที่นายมาที่นี่กลางดึกควรมีเหตุผลดีๆซักข้อให้ฉันก่อนจะก้าวเข้าบ้านนะคลาร์ก”

คลาร์กรับผ้าขนหนูมาไว้ในมือ เขาไม่ได้เอาเช็ดตัวแต่เอามาห่มคลุม คลาร์กนั่งชันเข่าขดเข้าหาตัวเองอยู่บนโซฟาหนังสีน้ำตาล ถึงจะดูไม่มีสติแต่คลาร์กมีสติพอจะรู้ว่าเขาไม่ควรนั่งบนโซฟาผ้าเนื้อหรูกลางห้องนั่นเพราะมันทำความสะอาดยาก ระหว่างที่นั่งอยู่นั้นดวงตาของคลาร์กก็เหม่อมองไปไกล บางช่วงเวลาเขาก็ซุกใบหน้าลงกับหัวเข่าแล้วสะอื้นเบาๆ

เมื่อบรูซมาถึงพร้อมกับถุงร้อนและชุดน้ำชาร้อนๆ เขาก็ได้พบกับพฤติกรรมแสนประหลาดของคลาร์กที่เกินเลยจะรับไหว บรูซรีบวางของไว้บนโต๊ะเล็กก่อนจะกุลีกุจอเข้ามาหาคลาร์ก แต่นึกได้ว่าต้องมีถุงร้อนให้ความอบอุ่นคนตัวใหญ่ มือจึงฉวยถุงร้อนเข้ามาไว้แล้วเดินเข้าหาคลาร์กที่นั่งอยู่

“เอานี่ไป ถึงจะไม่ได้เท่าดวงอาทิตย์แต่อากาศและเวลาแบบนี้คงเอาดวงอาทิตย์ให้นายไม่ได้หรอก”

คลาร์กเงยหน้าช้อนตามองสบตากับบรูซก่อนจะยิ้มน้อยๆด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา

“ไม่ คุณคือดวงอาทิตย์ของผมบรูซ ผมต้องการคุณ แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็เทียบคุณไม่ได้”

บรูซมองตาเปลี่ยวเศร้าของคลาร์ก เขาหัวเราะในลำคอเล็กๆ ประโยคที่คลาร์กพูดนั้นสะกิดใจของบรูซจนเขานึกสมเพชตัวเอง ก็เชาน่ะถอยห่างจะดวงอาทิตย์มาไกลมากจนไม่สามารถสัมผัสแสงที่แท้จริงของมันได้แล้ว

“คลาร์ก ฉันหันหลังให้ดวงอาทิตย์มานานแล้ว ฉันเป็นแค่ค้างคาวที่ไม่เคยเฉียดโดนแสงอาทิตย์เลยนายเองก็รู้ แต่นายรู้มั้ย นายนั่นแหละคือดวงอาทิตย์ ให้ความอบอุ่นกับฉัน ความรู้สึกนั้นที่ฉันลืมไปแล้ว…”

“และคุณก็เป็นความหวังของผม ความหวังที่ทำให้ผมเชื่อในมนุษย์”

ใช่ บรูซเป็นแสงแห่งความหวังให้เขา บรูซที่งดงาม แข็งกร้าวแต่กลับอ่อนโยน สายตาที่ไม่ไว้วางใจอะไรเลยแต่กลับเชื่อมั่นในตัวมนุษย์ เชื่อว่าพวกเขายังมีความดีเหลืออยู่ เชื่อว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะได้รับโอกาส ต่างจากเขาที่เกือบจะหันหลังให้มนุษย์อย่างสิ้นเชิง เกือบจะทอดทิ้งพวกเขาไปเพราะความโกรธ ต่างจากบรูซที่ไม่ว่ายังไงก็ยังเชื่อในตัวพวกเขา ไม่ว่ายังไงก็ยังหยิบยื่นโอกาสให้ตลอด ทุกๆครั้ง ไม่ว่าจะครั้งที่เท่าไหร่ก็ตาม

บรูซที่ขมวดคิ้วมองคลาร์กที่นั่งอยู่ ก่อนจะยัดถุงร้อนในมือให้ร่างที่นั่งขดบนโซฟาโดยกะทันหันก่อนจะหันไปรินชาลงถ้วยสองใบและยื่นมาให้คลาร์ก บรูซขยับตัวนั่งข้างๆคลาร์กแม้รู้ว่ามันจะทำให้เขาเปียกไปด้วย บรูซเอนตัวพิงซบเข้ากับไหล่ของคลาร์กแล้วเอ่ยปากถามเบาๆ

“ฉันหวังว่านายจะมีเหตุผลดีๆที่พูดเรื่องนี้นะ”

คลาร์กเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากเล่า

“ที่จริงแล้ววันนี้ที่แคนซัสมีพายุอีกแล้ว เหมือนวันนั้นที่พ่อบนโลกของผมเสีย คุณลุงคนหนึ่งวิ่งไปช่วยสุนัขของเขาที่รถแล้วปล่อยให้มันวิ่งมาหาลูกสาวของเขา นั่นทำให้เขาเกือบจะโดนพายุกลืน ทุกฉากเหมือนกับวันนั้นเปี้ยบ คนๆนั้นแก่กว่าพ่อในตอนนั้นเล็กน้อย”

“แล้วนายช่วยเขาได้มั้ยล่ะ หวังว่าฉันจะกำลังฟังเรื่องดีๆอยู่นะ”

“ครับ เขารอดอย่างที่เขาควรจะรอด แต่นั้นทำให้ผมคิดถึงวันนั้น ผมผิดใจกับเขา และ… เอ่อ ผม พูดกับเขาก่อนเขาตายว่า เขาไม่ใช่พ่อจริงๆของผมซักหน่อย หลังจากนั้นก็อย่างที่ผมเล่านั่นแหละ”

“งั้นเหรอ แล้วทำไมนายถึงอยู่ในสภาพนี้ในเวลานี้ล่ะ”

คลาร์กชะงักไปก่อนจะเริ่มสั่นน้อยและหันมากอดบรูซแน่น เขาปล่อยโฮที่ไหล่ของบรูซ นั่นทำเอาบรูซทำอะไรไม่ถูก บรูซตัดสินใจกอดตอบคลาร์ก นั่นทำให้คลาร์กยิ่งปล่อยโฮแรงขึ้นอีก กลายเป็นว่าตอนนี้บรูซแทบไม่กล้าทำอะไรกับอีกฝ่ายเลย มือคาอยู่ที่หลังของคลาร์กนิ่งๆปล่อยให้คลาร์กสงบไปเอง ก่อนเสียงจะเริ่มเบาลงกลายเป็นเสียงสะอื้นเบาๆและนิ่งเงียบไป

“พอใจรึยัง ทีนี้ก็เล่าให้ฉันฟังได้แล้ว”

คลาร์กเปลี่ยนท่าที่เป็นอยู่ เลื่อนมือลงมาโอบที่เอวของบรูซ นอนหนุนลงกับตักของบรูซ ระหว่างที่เล่าก็ช้อนตามองอีกฝ่ายเป็นช่วงๆ

“ที่จริงแล้วผมฝันถึงพ่อน่ะ ไม่ว่าจะตื่นขึ้นมากี่ครั้งหรือล้มตัวลงนอนกี่ครั้งก็สลัดฝันนั้นไม่หลุดเลย ผม ผมเป็นคนทำให้พ่อตาย ผมช่วยเขาไม่ได้ เขาปกป้องผมเกินไป และผมคิดว่าผมไม่สมควรที่เขาปกป้องเอาไว้”

บรูซมองคลาร์กเหนือยๆพร้อมกับเริ่มใช้มือลูบไหล้ใบหน้าและนวดที่ขมับของคลาร์กช้าๆ คลาร์กหลับตารับสัมผัสนิ่มๆอุ่นๆนั้น และกระชับอ้อมแขนรั้งเอวนั้นเข้าใกล้ใบหน้ามากขึ้น บรูซเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นิ่มๆไม่เหมือนทุกครั้ง มันเป็นน้ำเสียงที่ไม่ได้มีไว้ให้ทุกคน มันมีไว้ให้คลาร์กคนเดียว

“นี่คลาร์ก เคนท์ ความฝันน่ะไม่เกี่ยวกับความจริงรู้ใช่มั้ย มันเกิดขึ้นเหมือนที่นายหมกมุ่น แต่ไม่ตรงกับความจริงเลย ในที่สุดแล้วเราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าพ่อของนายคิดยังไง และปกป้องนายเพื่ออะไร แต่นายต้องเชื่อมั่นว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็ปกป้องนายจนนายยืนอยู่ตรงนี้ อย่างน้อยที่เขาปกป้องนายก็เพราะเชื่อว่านายเป็นลูก”

คลาร์กเงยหน้ามองบรูซอีกครั้งพร้อมกับหยดน้ำที่ค่อยๆไหลออกมาออกมาจากดวงตาสีน้ำเงินนั้นไหลคลอผ่านจมูกของคลาร์กที่เมื่อสังเกตดูดีๆแล้วมันแดงเถือกเป็นสีเดียวกันกับรอบดวงตานั้น

“ครับบรูซ ผมรู้ เรื่องนั้นผมรู้ดี แต่ในบางครั้งผมอ่อนแอ ผมไม่อยากยอมรับมัน ที่ผมปล่อยให้เขาตาย”

บรูซพยุงใบหน้าของคลาร์กแล้วประทับจูบที่บริเวณเหนือคิ้วของเขาเบาๆ  แล้วละออก

“การที่นายอ่อนแอไม่ใช่ความผิด อ่อนแอให้พอแล้วเริ่มวันพรุ่งนี้ใหม่ ไม่นานนายอาจจะอ่อนแออีก แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดเหมือนกัน ไม่ว่าจะอ่อนแอกี่ครั้งนายก็ต้องลุกขึ้นมาอีกครั้งรู้มั้ย”

“คุณเข้มแข็งจังบรูซ ทั้งที่ควรจะแข็งกร้าวแต่กลับนิ่มนวล อ่อนโยนขนาดนี้”

“นี่คลาร์ก ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้กับทุกคนนะ”

บรูซขู่ฟ่อพร้อมมองค้อนคลาร์กเล็กน้อย คลาร์กที่สะดุ้งทั้งที่ไม่รู้ว่าควรจะเขินอายหรือหวาดกลัวแมวหนุ่มตรงหน้ากันแน่ เขากระพริบตาปริบๆให้กับบรูซ

“ผมรู้บรูซ นั่นผมรู้ดีและผมเป็นเช่นนั้นเหมือนกับคุณ ผมไม่ได้เป็นแบบนี้กับทุกคน เพราะเป็นคุณและเพราะผมรักคุณ”

“นายไม่ควรพูดแบบนี้พร่ำเพรื่อนะ”

บรูซหันหน้าหนีพร้อมใบหน้าขาวที่ขึ้นสีเล็กน้อย เม้มปากแน่นด้วยความเขินอาย นั่นทำให้คลาร์กชอบใจ คลาร์กเริ่มล้วงมือขึ้นไปในเสื้อของบรูซและลูบไล้หลังเปลือยเปล่า นั่นทำบรูซสะดุ้งสุดตัว

“พระเจ้า ออกไปจากตัวฉันแล้วกลับบ้านนายไปได้แล้ว ให้ตายสิ ฉันไม่น่าสนใจนายเลย น่าจะปล่อยในเน่าตายอยู่หน้าบ้าน”บรูซโวยวายพลางเริ่มขยับขาให้หลุดจากการควบคุมของคลาร์ก เงื้อค้างไว้เพื่อขู่อีกฝ่าย

“โอเคๆ ผมขอโทษบรูซ ผมจะไม่ทำอะไรก็ตามที่คุณไม่ชอบใจ”คลาร์กเริ่มคลายมือออกจากเอวของบรูซ แต่ก็ยังโอบไว้หลวมๆ พร้อมกับซบหน้าเพื่อแสดงความพ่ายแพ้

“ขอบใจ แต่ไม่ได้ยกโทษให้หรอกนะ ขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนได้แล้ว โธ่ พระเจ้า ฉันเสียเวลากับเด็กฝันร้ายแบบนายมานานแค่ไหนกันเนี่ย หวังว่าพรุ่งนี้งานจะเสร็จทันนะ นี่ดึกมากแล้ว ฉันก็จะไปนอนเหมือนกัน นายใช้ห้องเดิมที่เคยใช้ได้ตามสบาย…”

“บรูซ ผมอยากนอนกับคุณ”

คำพูดนั้นทำบรูซขมวดคิ้วเป็นปม คนตรงหน้าจะหาเรื่องอะไรมาให้เขาปวดหัวอีกซักกี่น้ำกันนะ

“ไม่มีทางคลาร์ก ฉันเหลืองานเป็นกองต้องสะสาง ไม่มีเวลาว่างแบบนายหรอกนะ”

“ผมสัญญาบรูซ คืนนี้เราจะไม่ทำอะไรกัน ผม ผมแค่อยากมีคุณนอนอยู่ข้างๆ อยากตื่นมาเห็นคุณเป็นคนแรกในตอนเช้า และอยากเป็นคนกล่าวอรุณสวัสดิ์กับคุณเป็นคนแรกของวัน”

บรูซก้มหน้ามองคนตัวใหญ่ที่นอนกอดเอวเขา ถอนหายใจเบาๆ นั่นทำให้คลาร์กสดใสขึ้นมาในบัดดล บรูซรู้ตัวว่าหลายครั้งแพ้ทางให้กับคลาร์ก ไม่ว่าจะเป็นสำนวนเจ้าบทเจ้ากลอนแบบที่คลาร์กมักจะแก้ตัวว่าติดสำเนียงบ้านนอกแล้วใช้มันเป็นข้ออ้างพูดใส่เขาไม่หยุดหย่อน ถ้าบรูซเป็นหญิงสาวซักคนคงจะพอใจกับการมีชายคนนึงพูดพร่ำคำหวานให้ทุกวินาทีแบบคลาร์ก แต่บรูซเป็นชายหนุ่ม เป็นชายหนุ่มคนนึงนั่นหมายความว่าเขาไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรหรือมีผลตอบรับยังไงกับประโยคและคำพูดที่ฟังก็รู้ว่ามันคือคำเกี้ยวพา

“บรูซครับ?”คลาร์กถามขึ้นเมื่อเห็นว่าบรูซเงียบไป หรือเขาอาจจะรุกไล่คนๆนี้มากไปนะ

“งั้นก็ไปอาบน้ำ ฉันจะรอที่เตียง”

ดวงตาสีน้ำเงินสดของชายตัวใหญ่เปล่งปลั่งขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดตรงๆที่นานๆทีจะพูดออกมาจนคลาร์กแทบจะอดกลั้นรอยยิ้มที่เริ่มรุกไล้มาตามมุมปากไม่ไหว บรูซเหลือบตาลงมาสบกับคนข้างล่างที่มองกลับมาก็ได้แต่ค้อนตอบเบาๆเพราะทำอะไรไม่ได้จากการที่ได้ลั่นคำพูดออกไปแล้ว จู่ๆคลาร์กก็คิดขึ้นได้ว่าเขาควรจะพูดตอบรับไปซักคำเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดเข้ารุมเร้า

“ครับ…”

อย่างน้อยคืนนี้..แค่มีคุณอยู่ด้วย

ผมอาจจะสามารถผ่านคืนนี้ไปได้

***************************************

Talk: สวัสดีค่ะ รอบนี้เป็นการขุดของเก่ามาแต่งต่อ(ภาษาหยาบคายเรียกตัดจบ)

ขออภัยเป็นอย่างสูงสำหรับหลายๆคนที่ติดตามAUหมอๆ(ที่หลังๆไม่มีเรื่องการแพทย์เข้ามาเกี่ยวแล้วจ้า เหอๆ)

ในความเป็นจริงตอนที่5(อนุมานว่าจะต้องจบ)ถูกแต่งไปแล้วพอสมควร แต่ดันมีอุปสรรคเกิดขึ้นอย่างระบบเว็บไซต์ของแอพมือถือมันขัดข้อง เคลียร์ของเราไปว่างเปล่าเลย เพราะงั้นตอนนี้เลยได้แต่นั่งยาวไปๆ คิดอะไรไม่ค่อยออกเศร้าใจฮอออ…

พูดฟิคตอนนี้บ้างดีกว่า ไอเดียมันเกิดมาก็นานพอดู สมัยBvSนั่นล่ะ ดูเสร็จก็กลับมาคิดถึงSuperbatที่เคยหวีดสมัยม.ต้น โอ๊ยยรอบนี่เลยยัดรัวๆค่ะ ประโยคจีบที่คิดออก โมเม้นที่นึกขึ้นได้เอามาใช้หมด คิดถึงว่าถ้าตัวเองเป็นคุณบรูซคงจะ…พูดอะไรไม่ออกเลยก็ว่าได้(ตลกตัวเอง)

ก็อ่านเพลินๆระหว่างรอหมอแล้วกันค่ะไม่มีอะไร ฝากติดตามด้วยนะคะ..

[Fanfiction] lanternbat [Hal jordan/Bruce wayne]

ฟิคเรื่องนี้เคยลงไปแล้วเว็บนึงแต่เข้ายากมากก็เลยอยากจะย้ายมาไว้ที่นี่นะคะ

****************************************

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ดวงตาเอาแต่เฝ้ามองปอยผมที่ไล้ไปตามแผ่นหลังเธอคนนั้น
ไม่รู้เมื่อไหร่ต้องคอยหลบสายตาที่น่าค้นหาดวงนั้นยามมันพยายามเพ่งมองมา
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวข้ารู้สึกได้ถึงจังหวะภายในอกที่เต้นรัวยิ่งกว่ากลองของนักดนตรียามที่ต้นแขนเธอได้เฉียดเข้าใกล้
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ข้าไม่รู้…

.

.

.
“ฮาล แม่เจ้าบอกให้ข้าบังคับเจ้าไปงานคืนนี้ให้ได้”
เสียงตะโกนเชิงตำหนิของ’แบร์รี่’ดังมาตามทางตั้งแต่เขาเปิดประตูห้องของเพื่อนสนิทของเขา ‘ฮาล’ที่ตอนนี้เอาแต่นั่งจุมปุ๊กอยู่บนโต๊ะทำงาน
ฮาลหันกลับมามองแบร์รี่อย่างไม่สบอารมณ์ เขายกปากกาหมึกซึมที่ตั้งใจจะจรดลงกระดาษอย่างอ่อนช้อยลง จงใจกระแทกโต๊ะแรงๆก่อนจะกล่าวขึ้น
“เจ้าเป็นเพื่อนข้าไม่ใช่เพื่อนแม่ข้า เข้าใจที่ข้าพูดนะแบร์รี่”
ฮาลใส่อารมณ์ในคำพูดตัวเองอย่างเกรี้ยวกราด เรื่องของมารดาไม่เคยหนีไปไหนไกลกว่างานเลี้ยงสังสรรค์ที่จัดขึ้นวันเว้นวัน ความฟุ้งเฟ้อไร้ขีดจำกัดของขุนนางและข้าราชการชั้นยศต่างๆที่ไร้ความใส่ใจในเรื่องอื่นๆนอกจากว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร คนพวกนั้นมีความสนใจที่มากเกินไปในเรื่องของคนอื่น ฮาลเบื่อการถามซอกแซกในเรื่องส่วนตัวของเขามากและเขาเชื่อว่าแบร์รี่ก็ไม่ได้ชอบ
“ข้าไม่ชอบงานพวกนั้น อาหารก็ไม่ได้รสชาติดีไปกว่าพ่อครัวของข้า ทำไมข้าต้องดั้นด้นไป”

ฮาลขมวดคิ้วใส่แบร์รี่ที่ยังโบกซองจดหมายที่น่าจะเป็นการ์ดเชิญไปมาตรงหน้า
“แต่รอบนี้พิเศษนะ งานนี้ไม่ใช่ธรรมดาๆเชียว”

แบร์รี่พูดพลางยักคิ้วหลิ่วตาด้วยความตื่นเต้นทำให้ฮาลฉงนกับท่าทางไม่น่าไว้วางใจของเพื่อนชาย
“พิเศษยังไง”
“ก็เพราะว่างานนี้จัดที่พระราชวังน่ะสิ!!”
ฮาลนิ่งใส่เพื่อตอบกลับ
“แล้วยังไง จัดที่พระราชวังไม่ได้ช่วยให้ข้าสนใจจะไปมากขึ้นหรอกนะ”ฮาลกอดอกแน่น
นั่นทำแบร์รี่หุบยิ้มไปชั่วขณะและทำสีหน้าจริงจังขึ้น
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่างานน่าสนใจ แต่เพราะว่าบัตรเชิญจากพระราชวังไม่ใช่อะไรที่เราจะเมินได้นะฮาล”ฮาลยังทำหูทวนลมใส่

“แถมระบุเชิญทายาทของตระกูลอย่างเจ้าอีก ไม่รู้ล่ะ รอบนี้เจ้าคงเบี้ยวไม่ได้แล้ว แม่เจ้าก็เตรียมชุดกับรถม้าไว้แล้วแถมกำชับข้าอย่างแน่นหนา ข้าเองก็รับเงินมาจากแม่เจ้าแล้วจะเข้าข้างเจ้าก็ไม่ได้ด้วยสิ”
“นั่นไง เจ้ารับเงินมาจากแม่ข้าจริงๆด้วย”

ฮาลถอนหายใจออกมายาวเหยียดและเริ่มเตรียมตัวจะเขียนงานต่อ

“แต่ข้าคงจะไปไม่ได้หรอกนะถ้างานส่วนของข้ายังไม่เสร็จ”
“ไม่เป็นไร มีข้าทั้งคนงานเสร็จแน่นอน”

แบร์รี่ยืดอกพูดด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ให้มันจริงเถอะ”ฮาลกลั้วหัวเราะพร้อมหยอดคำพูดเชิงเสียดสีอย่างไม่ใส่ใจในคำพูดของเพื่อน
ซึ่งอากัปกิริยาอันมั่นใจเกินเหตุของฮาลทำให้เขาต้องมายืนหงอยอยู่ข้างๆโคมไฟกระดาษในงานเลี้ยง
พระราชวังเต็มไปด้วยแสงไฟสาดส่องไปทั่ว แบร์รี่ที่พาเขามาเองก็หายเข้าโต๊ะไพ่โป๊กเกอร์ไปซะอย่างนั้น ฮาลทำได้แต่เพียงจิบเครื่องดื่มแก้วน้อยในมือแก้ประหม่า คนรอบตัวฮาลต่างก็มีวงสนทนาของตัวเอง ฮาลไม่ใช่ผู้หลีกหนีสังคมอีกทั้งชอบการพูดคุย เพียงแต่ว่าการไปศึกษาต่อต่างประเทศทำให้เขารู้สึกว่าการพูดคุยกับนักวิชาการผู้มีความรู้นั้นสร้างความบันเทิงให้เขาได้มากกว่าวงสังสรรค์ที่ไร้แก่นสาร
ตอนนี้โต๊ะไพ่โป๊กเกอร์กำลังร้อนแรงทำให้แขกหลายๆคนเลือกที่จะไปมุงดูกันช่วยให้ฮาลหายใจหายคอโล่งมากขึ้น เขากวาดตามองไปรอบๆก่อนจะสะดุดตาเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีผมสีดำขลับ
อาจเป็นรอยยิ้มมุมปากที่แฝงไปด้วยสเน่ห์ของเธอหรือจมูกเล็กๆเชิดรั้นที่ชวนให้เมียงมอง ราวกับเวลารอบตัวไหลผ่านไปช้าๆแม้แต่ลมที่พัดโกรกชายหนุ่มก็ไม่รู้สึกเย็นสบาย
ใจดวงน้อยๆในอกฮาลเต้นรัว ใบหน้าร้อนฉ่า เหงื่อเม็ดเล็กค่อยๆผุดเรียงตัวกันบนจมูกโด่ง ฮาลวางแก้ววิสกี้ลงบนโต๊ะข้างตัวทั้งที่ดวงตายังเฝ้าจับจ้องไปที่หญิงสาว
เธอมีผมสีดำยาวไล้ไปตามกรอบหน้า เครื่องหน้าที่ถูกจัดเรียงอย่างเข้าทีขับกล่อมให้รูปหน้านั้นดูเย้ายวน ดวงตาเฉียบสีฟ้าเหล่มองไปทั่วก่อนจะหันกลับมาสบกับชายหนุ่มที่ยังยืนอยู่
ดวงตาที่ไร้ความหมายของหญิงสาวได้เคลื่อนผ่านและแวะเข้ามาหาฮาล แต่ฮาลกลับตอบกลับเธอทางสายตาไม่ได้เพราะเขาเลือกที่จะหันหลังหนีสายตาเป็นประกายนั้น
ฮาลพยายามควบคุมเสียงในอกที่ดังก้องในหูและกระแสไฟฟ้าที่ไหลพล่านในตัวของเขาให้สงบ เขาหันไปเจอเข้ากับแจกันที่ถูกขัดเงาวับและได้เห็นใบหน้าของตัวเองที่แปลกตา ใบหน้าเขานั้นทั้งฝาดแดงและดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่รู้ตัว
แต่เมื่อหันกลับไปอีกทีเธอคนนั้นก็หันหน้าผลัดไปทางอื่นเสียแล้ว ฮาลโล่งใจปนๆไปกับเสียดาย แต่แล้วเขารวบรวมความกล้าขึ้น หายใจเข้าและถอนออกเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินตรงไปที่หญิงสาวที่นั่งกอดอกอยู่
“สวัสดี ข้า.. ข้าชื่อฮาล จอร์แดน”
หญิงสาวมองเขาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“ฉันบรูซ บรูซ เวย์น ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
สิ่งหนึ่งที่ฮาลรู้สึกแย่กับตัวเองคือ เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาแทบจะไม่รู้วิธีการทำตัวกับหญิงสาวเท่าไหร่นัก ฮาลทำได้เพียงนั่งลงข้างๆเธอบนเก้าอี้บุนวมตัวยาวที่เธอนั่งอยู่ก่อนแล้ว
ฮาลพบว่าเธอนั้นราวกับประกอบขึ้นจากความรักความใส่ใจของพระเจ้า ผิวเรียบเนียนที่มีไฝเม็ดเล็กๆนาบอยู่บนหัวไหล่มนและผมดำสลวยที่เรียงตัวงามงอนดูเป็นระเบียบ อีกทั้งนิ้วเรียวยาวที่คอยคลอเคลียที่แก้วน้ำอย่างใจลอยของเธอทำให้ฮาลแทบไม่ได้วางสายตาลงแต่ก็คอยหลบลี้เวลาหญิงสาวเหล่มองกลับ
“ข้าได้ยินเรื่องของท่านมา” จู่ๆหญิงสาวก็พูดขึ้นลอยๆทำเอาฮาลสะดุ้งขึ้นตัวโยนจากการเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาทำการเสียมารยาทกับหญิงสาวอยู่ดังเช่นการไล่สายตามองไปทั่วร่างกายเธอ
“เรื่องของข้า!?”
หญิงสาวพยักหน้าตอบ
“ได้ยินว่าเพิ่งกลับมาจากไปเรียนที่เยอรมัน”
“อ่า เรื่องนั้นเอง”ฮาลไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองกำลังยืดอกและเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจอยู่
คนทั้งคู่คุยกันได้อย่างถูกคอ ความอยากรู้อยากเห็นอย่างไว้เชิงของบรูซส่งให้ฮาลยอมเปิดปากแสดงความคิดและความรู้ของเขาออกมาอย่าเป็นธรรมชาติ
ไม่นานนักหลังจากงานเลี้ยงคืนนั้นทั้งคู่ก็สนิทสนมกันและเป็นเพื่อนทางจดหมายเนื่องด้วยฮาลไม่มีความกล้าพอจะไปเยี่ยมเยียนเธอที่คฤหาสถ์ หรือถ้าเขาจะได้เห็นหน้าบรูซอีกก็เป็นเพียงงานเลี้ยงสังสรรค์ที่เขาอดทนไปเพื่อจะได้พูดคุยกับหญิงสาวต่อหน้า
บรูซเป็นคนประหลาด ไม่สิ ถ้าหากพูดว่าหญิงสาวหัวก้าวล้ำแบบนั้นเป็นคนประหลาด ฮาลคงจะเป็นคนแปลกแยกแทน
บรูซเป็นคนช่างฝันและมีความถือตัวเล็กน้อย แต่เธอมีจุดเด่นตรงความฉลาด บรูซเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ใครจะมาจูงจมูกไปได้ง่ายๆ อีกทั้งเธอยังสามารถปั่นหัวคู่สนทนาเธอได้อย่างเรียบง่าย
แม้แต่ฮาลเองถ้าไม่ระวังก็มักจะโดนเธอจิกกัดด้วยวาจาคมคายอย่างยากที่จะเถียงกลับเช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวลทำให้ฮาลหลงรักเธออย่างหัวปักหัวปำโดยเขาคิดว่าเธอไม่รู้ แต่ถึงแม้ภายในใจเขาจะร้อนแรงเพียงใดเขาก็ไม่มีความกล้าที่จะบอกกล่าวให้เธอฟัง ที่เขาทำก็มีเพียงแค่ลูบไล้ไปตามเนื้อกระดาษของจดหมายโดยจินตนาการว่ามันคือมือเล็กๆของเธอ
“เจ้ายังติดต่อกับเธออยู่อีกเหรอ”

ระหว่างที่ฮาลกำลังเพ่งพินิจเนื้อหาในจดหมายทุกกระเบียดนิ้ว แบร์รี่ก็พูดขึ้นพร้อมฉวยซองจดหมายที่ระบุชื่อฮาลมาไว้ในมือ
“เรื่องของข้าน่า..”ฮาลฉกมันกลับมาคืน
“ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าข้าควรพูดเรื่องนี้มั้ย หรือว่าเรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน แต่ข้าก็อยากให้เจ้าร่วมรับรู้นะ”แบร์รี่กล่าวช้าๆด้วยน้ำเสียงที่แสดงความไม่สบายใจและเคร่งเครียดทำให้ฮาลต้องหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่เงยหน้าขึ้นมาฟัง
“มีอะไรก็พูดมาอย่าอ้อมแอ้ม”ก่อเกิดความไม่สงบในจิตใจของฮาล เขาหันเก้าอี้มาหาแบร์รี่ทั้งตัวเพื่อตั้งใจฟัง
“คืองี้ นาง เอ่อ คุณเวย์นน่ะ.. มีกำหนดที่จะต้องแต่งงานกับรัชทายาท ก็เจ้าชายอันดับหนึ่งนั่นแหละ ข้าไม่ค่อยสบายใจนักที่เจ้า..เป็นแบบนี้ เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดนะฮาล”คำพูดอ้อมค้อมของแบร์รี่ทำให้ฮาลนิ่งอึ้ง เขาไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่แบร์รี่เองก็บอกเขาว่ามันเป็นเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาเช่นกันแต่ผู้ใหญ่เองก็เป็นคนเล่าให้ฟังดังนั้นจะเพิกเฉยไปก็ใช่เรื่อง
ฮาลตัดสินใจเขียนเรื่องการแต่งงานของบรูซลงในจดหมายโดยไม่ทันคิดและแอบรู้สึกว่าเขาไม่น่าเขียนลงไปเลย ไม่นานนักบรูซก็ตอบกลับมา เนื้อหาในจดหมายบอกว่าเธอไม่อยากพูดเรื่องนี้ในจดหมาย จึงนัดวันเวลาแล้วถามฮาลว่าสะดวกจะมาหาเธอมั้ย แน่นอนว่าฮาลไม่รีรอเลย
บรูซนัดฮาลออกมาที่สวนสาธารณะ ฮาลไปรับเธอที่คฤหาสถ์โดยรถม้าของเขา บรรยากาศในรถม้าไม่ได้ตึงเครียดมากเพราะฮาลและบรูซเองก็เป็นเพื่อนสนิทที่คุยถูกคอกันคู่หนึ่ง
ฮาลชวนเธอลงเรือพายลำเล็ก บรูซไม่เคยลงเรือพาย ดวงตาเธอมีแววประกายความตื่นเต้นแอบแฝงอยู่ ฮาลพายเรือลำเล็กนั้นพาเธอไปกลางสระน้ำ รอบตัวพวกเขามีชายหญิงลงเรือเต็มไปหมด เพียงแต่ไม่มีใครสนใจกันและกันเพราะมัวแต่สนใจในคู่ของตนเอง
“เรื่องที่เจ้าถามข้าน่ะ เรื่องงานแต่งงาน”

บรูซเปิดประเด็นขึ้นหลังจากฮาลเลือกเบี่ยงประเด็นไปทั่วจนเลอะเทอะ
“เจ้าจำงานเลี้ยงที่ปราสาทที่เราเจอกันครั้งแรกได้มั้ย”
“ก็พอจำได้ มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วนี่นะ”

ฮาลหัวเราะแห้งๆ
“งานเลี้ยงนั่นเป็นงานเลี้ยงที่จัดให้ข้าไปเจอกับเค้า แต่ว่าเค้าก็ไม่มา เห็นว่าติดว่าราชการที่ต่างประเทศ” ‘เค้า’ที่ว่าน่าจะหมายถึงเจ้าชายรัชทายาท คู่หมั้นของบรูซ
“แย่จัง…”ฮาลเผลอแสดงความเห็นใจก่อนจะรู้สึกตัวว่าบรูซไม่ชอบรับความเห็นใจ แต่คราวนี้บรูซเองก็ทำเพียงแค่การยิ้มน้อยๆมุมปากแต่ดวงตากลับทอดมองไปไกล
“ข้าเองก็คิดเอาไว้แล้วว่าคงจะได้เจอหน้าเค้าครั้งแรกในวันแต่งงาน แต่เมื่อไม่นานมานี้ เค้ามาที่คฤหาสถ์ข้าและได้คุยกับท่านพ่อแล้ว ข้าเองก็ได้ทักทายกับเค้านิดหน่อยแล้วล่ะ”

บรูซเท้าคางเอียงไปมาระหว่างที่เล่า

“ที่จริงแล้วข้ากับเค้าก็หมั้นกันตั้งนานแล้ว เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เค้ายื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้นอกจากพวกผู้ใหญ่ทำให้ในวงสังคมเองก็พูดกันอย่างออกรสออกชาติ”
“อีกอย่างเค้าให้สัญญาข้าว่าเขียนจดหมายส่งมาให้อย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ข้าเกร็งในวันแต่งงาน เค้าบอกข้าว่าไม่ได้ชอบการแต่งงานแบบนี้เหมือนกับข้าเพียงแต่พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก”บรูซเหลือบมองท้องน้ำด้วยประกายความผิดหวัง ฮาลไม่เคยเห็นท่าทีที่ฉาบไปด้วยความอ่อนแอแบบนี้ของบรูซเลย เขารู้สึกอยากปกป้องเธอ
“และข้าเองก็จะมีอายุครบกำหนดในอีกไม่นาน อีกเดี๋ยวข้าก็จะไม่ได้เที่ยวเล่นแบบนี้แล้วล่ะ”
“บรูซ.. ข้า”ฮาลพูดแทรกขึ้นด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นภายในอก เขาอยากบอก อยากบอกคนตรงหน้าเหลือเกินว่ารู้สึกยังไง อยากจะปลอบประโลมเธอให้ปราศจากความเศร้าและมลทินใดๆ ความรู้สึกของฮาลกำลังปะทุภายในใจลึกๆของเขา
“ข้ารู้ เจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้านะ ข้าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังหรอก”บรูซหันกลับมายิ้มให้ฮาล ทำเอาฮาลแทบจะหุบปากปิดในทันที
ข้า.. ข้าเป็นที่ปรึกษาให้บรูซ
บรูซที่ข้ารัก
.

.
แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ..
ฮาลยิ้มรับทำให้บรูซเริ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้น พวกเขายังคงพูดคุยกันต่อบนเรือพายลำเล็กๆ บนโลกใบน้อยๆที่มีเพียงพวกเขา
ก่อนบรูซจะเดินลงจากรถม้าสู่คฤหาสถ์ของเธอ เธอหันกลับมาหาฮาลแล้วใช้อุ้งมือน้อยๆลูบไปตามใบหน้าและสันกรามของชายหนุ่มอย่างช้าๆ
“ฮาล ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร”
“…”ฮาลนิ่งค้างรับสัมผัสจากมือเล็กๆ เขาไม่พูดอะไรเพราะความคิดเขาในตอนนี้ช่างกระเจิดกระเจิง
“ความรู้สึกของเจ้า ข้ารับเอาไว้ไม่ได้”
“…”
“แต่ว่า..”
“…”
“ขอบคุณเจ้ามากที่ยอมเป็นเพื่อนกับข้า ที่เจ้ายอมเป็นที่ปรึกษาให้ข้า..”
“…”
“ข้าดีใจมาก..”
“…”
“แล้วเจอกันใหม่คราวหน้านะ แล้วข้าจะเขียนจดหมายไปหา”
แล้วรถม้าก็แล่นผ่านไป ฮาลได้แต่มองบรูซที่ยืนส่งซักพักก่อนจะเดินเข้าประตูไป
ฮาลไม่รู้ว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ เขาได้แต่นั่งทำงาน ทานอาหาร เข้านอน ทำกิจวัตรประจำวันเว้นเพียงแค่งานเลี้ยงที่เขาเลิกไป ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีก็มีจดหมายที่ลงชื่อเขา เขาเปิดผนึกก่อนจะพบว่า
มันคือบัตรเชิญของงานแต่งงานบรูซ
กับเจ้าชาย..
ฮาลได้แต่นั่งจ้องมันทั้งวัน งานจะจัดในอีกไม่กี่วันที่จะถึง เขาควรทำยังไงดีนะ เขาควรจะไปมั้ย
ฮาลนั่งขบคิดจนไม่เป็นอันทำอะไร จนในที่สุด วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันสำคัญ ฮาลได้แต่เฝ้ามอง คอยแล้วคอยเล่าจนดึกดื่น เขารอคอยอะไร เฝ้าหวังในอะไร เฝ้าหวังว่าบรูซจะวิ่งมาหาเขาแล้วบอกเขาว่ารักเขางั้นเหรอ ช่างน่าขำ นั่นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน แม้แต่การบอกรักเธอก็สามารถรับรู้ได้เองโดยที่เขาไม่ได้บอก
ฮาลเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาไม่เคยเอ่ยปากพูดเลย
เขาช่างไร้ความกล้าเหลือเกิน…
ฮาลเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานของเขาออกแล้วล้วงมือเข้าหยิบเอาปืนกระบอกเล็กๆมาไว้ในมือ
เขาจ่อมันเข้ากับขมับ..
ดวงตาข้าราวกับมีไว้เฝ้ามองนางเพียงคนเดียว
จิตใจข้ามีไว้คิดถึงเพียงแต่เรื่องราวเกี่ยวกับนาง
ร่างกายนี้ใช้ขับเคลื่อนเพื่อนางเท่านั้น..
เขากำลังจะลั่นไก
ก่อนจะ…
“โว้วววให้ตายเถอะฮาล!!!!”
แบร์รี่นั่นเอง..
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ดึกดื่น”ฮาลค่อยๆวางปืนลงกับโต๊ะไม้ เขาเอ่ยปากถามขึ้นโดยไม่สนใจว่าเมื่อครู่กำลังทำอะไรอยู่
“เจ้านั่นแหละ!! เมื่อกี้เจ้า.. จะทำอะไร”

แบร์รี่ค่อยๆวางตะเกียงน้ำมันลงบนโต๊ะด้วยมือไม้สั่นเครือ ก่อนจะก้าวฉับมาที่โต๊ะทำงานของเพื่อนสนิทแล้วก้มมองของกระจัดกระจายบนโต๊ะ
บัตรเชิญกับปืนกระบอกเล็กถูกวางเอาไว้ข้างกันอย่างสวยงาม..
“ข้า.. ข้าเปล่า”ฮาลเฉไฉหลบสายตาแบร์รี่ที่หรี่มองเขาอยู่
“ฮาล.. ข้าเป็นเพื่อนเจ้านะ มีอะไรก็เล่าให้ข้าฟังได้”แบร์รี่หันกลับไปลากเอาเก้าอี้เดี่ยวในชุดรับแขกมาไว้ตรงหน้าฮาลแล้วกระแทกนั่งลงอย่างแรง
“ข้า.. ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ว่าจะเล่าอะไร”
“อะไร อะไรก็ได้ เจ้าอยากพูดอะไรเจ้าก็พูด อย่างน้อยก็ดีกว่ายิงหัวตัวเองไปคนเดียวเงียบๆรู้มั้ย”แบร์รี่ขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
“นาง นางรู้ว่าข้ารู้สึกอะไรกับนาง แต่นางตอบรับข้าไม่ได้”
“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก..”แบร์รี่พูดยังไม่จบก็ต้องหุบปากลง ดูเหมือนฮาลจะต้องการคนที่จะรับฟังเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“ข้ายังไม่เคยเอ่ยปากว่ารักนางเลย ข้าช่างเป็นชายที่น่าสมเพช ต้องให้นางเป็นคนบอกข้า ข้า.. ข้านี่มัน..”ฮาลยังคงทึ้งหัวและฟูมฟาย
“เจ้าก็ลองบอกนางสิ เผื่อความรู้สึกผิดในใจจะหายไป”แบร์รี่ยังไม่ยอมแพ้กับการแนะนำ
“ข้าไร้ความกล้า..”ฮาลกล่างด้วยอารามสลด
เมื่อได้ฟังดังนั้นแบร์รี่ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และใช้ฝ่ามือตบแรงๆเข้าที่ไหล่ของฮาล ก่อนฮาลจะได้พูดอะไรก็ถูกเพื่อนชายชิงพูดไปก่อน
“ฮาลที่ข้ารู้จักไม่เคยไร้ความกล้า เจ้าเป็นชายที่กล้าหาญที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา ฮาล.. อย่ายอมแพ้สิ บอกนางไป ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วจะเป็นยังไงก็ช่าง เจ้าต้องบอกความรู้สึกของเจ้าด้วยตัวเองให้ได้”
ประโยคของแบร์รี่ทำให้ฮาลได้สติ คืนนั้นเขานอนหลับเต็มอิ่มและสามารถตื่นขึ้นมาเลือกชุดที่จะใส่ไปในงานแต่งงานที่โบสถ์ของพระราชวังได้
เจ้าบ่าวของบรูซเป็นชายร่างสูง เป็นเหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย ผมสีดำหยักศกของเค้าถูกจัดทรงด้วยน้ำมันแต่งผมช่างดูเข้ากันกับบรูซที่มีผมดำขลับทิ้งตัวสลวยที่ตอนนี้ถูกเกล้าขึ้นอย่างหรูหรา
เมื่อมาถึงช่วงเวลาที่ฮาลรอคอย
“มีใครจะคัดค้านการแต่งงานนี้มั้ย”

บาทหลวงหันมาถามผู้ร่วมงามเป็นพิธีโดยไม่ได้ต้องการคำตอบ
แต่ว่า..
“ข้า!!”ฮาลยกมือและยืนขึ้นแสดงตัวทำเอาผู้ร่วมงานอื่นตกตะลึงและเริ่มซุบซิบนินทา
แม้แต่บรูซเองยังนิ่งอึ้งจนตาค้าง เธอจ้องมองฮาลสลับกับ’คาเอล’ เจ้าบ่าวของเธออย่างวิตกกังวล ตั้งแต่เกิดมาบรูซไม่เคยตกใจอะไรเท่านี้มาก่อนเพราะเธอมักคาดการณ์อะไรได้ตามแต่ที่หญิงฉลาดๆคนหนึ่งจะทำ
“ท่านจะคัดค้านการแต่งงานนี้ด้วยสาเหตุอะไร”

บาทหลวงถามอีกครั้งโดยเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิธี
“ข้ารักเจ้า บรูซ..”ฮาลพูดขึ้นด้วยสายตาที่มั่นคง เขาจ้องมองกับบรูซ สบตาเธอ
“ขอบคุณสำหรับความรู้สึก ข้า..”บรูซตอบปฏิเสธอย่างประหม่า เธออดเห็นใจฮาลไม่ได้ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรจึงทำได้เพียงยืนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม
“เจ้าไม่ต้องตอบอะไรหรอก ข้ารู้”
ฮาลเปลี่ยนเป้าหมายจากบรูซเป็นเจ้าชาย
“ส่วนท่าน เจ้าชายคาเอล!!!”
คาเอลได้แต่ยืนนิ่งเพื่อตั้งรับรอการโจมตีทางอารมณ์ของฮาล
“ท่านต้องทำให้นางมีความสุขนะ..”
“…”
“นี่เป็นความปราถนาหนึ่งเดียวของข้า”
ฮาลส่งต่อประกายความแน่วแน่ในน้ำเสียงลงสู่จิตใจของคาเอล คาเอลที่รับรู้ถึงความจริงจังและมั่นคงนั่นก็ตอบกลับไปด้วยความแน่วแน่เช่นกัน
“แน่นอน.. ข้าสัญญา”
“ขอบคุณ”
และฮาลก็นั่งลงดังเดิม ทิ้งให้แบร์รี่ที่นั่งข้างๆแอบคิดว่าเขาคงไปเผลอปลุกไฟในใจของเพื่อนชายให้ลุกโชนแน่ จึงเลือกที่จะนั่งนิ่งๆให้พิธีที่กลับมาสงบอีกครั้งดำเนินต่อไป
ฮาลจ้องมองรถม้าสีขาวที่เคลื่อนผ่านไป เขาและบรูซได้ร่ำลากันพอสมควร บรูซกล่าวขอบคุณเขาไม่รู้กี่รอบ ฮาลเองก็รู้สึกขอบคุณในความไม่ถือสาของคนทั้งคู่เช่นกัน ตอนนี้เขาได้แต่โบกมือลาทั้งคู่ที่ค่อยๆเคลื่อนผ่านไปไกลมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลัก
ฮาลที่กลับมาจากโบสถ์ก็ได้แต่โดดออกจากห้องทำงานไปหาร่มไม้นั่งเล่น แบร์รี่ก็เห็นดีเห็นงามด้วยเลยแวะออกมานั่งเป็นเพื่อน
“เป็นยังไงล่ะ ชีวิตรักพวกเค้า”แบร์รี่หยีตาขึ้นมองแสงแดดที่แยงแมกไม้ผ่านเข้ามา
“นางเป็นคนฉลาด ข้าเชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไรที่นางผ่านไปไม่ได้”ฮาลเป่าใบไม้ที่หล่นลงมาแตะจมูกของเขาออก
“แล้วเจ้าล่ะ ชีวิตรักเจ้าเป็นยังไงบ้าง”
ฮาลนิ่งคิด
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ..”
“ให้ข้าพาไปหามั้ยล่ะ”แบร์รี่เสนอตัวเอง
“สเป็คข้ามันคนละแบบกับเจ้านะ”ฮาลบอกปัด
“ฮืม… แล้วเจ้าจะใช้ชีวิตเหี่ยวแห้งแบบนี้เหรอ”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก อีกอย่างที่มหาวิทยาลัยเองก็เริ่มเปิดรับผู้หญิงแล้ว อีกเดี๋ยวคนแบบนางก็คงมีทั่วไปนั่นแหละน่า”ฮาลพูดอย่างรำคาญ
“อย่ายึดติดแล้วกันนะฮาล”
“ก็คงต้องรอเวลาอย่างเดียวนั่นแหละ”
ฮาลเองก็ยังคงใช้ชีวิตไปวันๆเหมือนเช่นที่ผ่านมา เขามีแผนอีกเยอะในชีวิตที่ต้องจัดการ ฮาลคิดจะมีเรือขนส่งสินค้าเพิ่มอีกซักลำทำให้เขาเองก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น
จดหมายของบรูซยังนอนนิ่งอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของฮาล มีบ้างที่จะเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ได้บ่อยมากเพราะนางเองก็เพิ่งเริ่มตั้งครรภ์
ฮาลยังเป็นเพื่อนที่รู้ใจและรับปรึกษาเวลาที่เธอต้องการคำตอบ พวกเขาเลือกที่จะไม่พูดถึงความรู้สึกที่ฮาลมีให้ ฮาลก็คิดเช่นกันว่านั่นเป็นเรื่องดี
เรื่องของเขา ให้มันเป็นแค่ความรู้สึกก็พอแล้ว

[Fanfiction] Superbat [Clark kent/Bruce wayne] Instant

ฟิคเรื่องนี้เคยลงไปแล้วเว็บนึงแต่เข้ายากมากก็เลยอยากจะย้ายมาไว้ที่นี่นะคะ

****************************************

“ฉันคิดไปเองรึเปล่าชาแซม รู้สึกว่าวันนี้บรรยากาศไม่ค่อยดีเลย”

“ไม่หรอก ฉันเห็นตั้งแต่วันก่อนแล้วล่ะ ที่นายไม่อยู่น่ะ”

“ได้ไง เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ เกิดอะไรขึ้น”

แบทแมนไม่รู้ว่าเค้าคิดไปเองรึเปล่า แต่เขารู้สึกรำคาญเสียงเจื้อยแจ้วของแฟลชวันนี้สุดๆไปเลย เขาหวังเป็นอย่างมากที่จะให้เจ้ากลุ่มขาเมาท์พวกนั้นหยุดสนทนา ซึ่งเดาไม่ยากว่าเกี่ยวข้องกับเขาเต็มเปาเลย

เหอะ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่เขาโดนแม่สาวน้อยมหัศจรรย์วันเดอร์วูแมนปฏิเสธไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาหรอก แบทแมนเป็นฝ่ายขอเธอเดท เขาน่าจะดูออกตั้งแต่แรกว่าเธอมีคนรักอยู่แล้ว แต่เขาคิดว่าช่างมันเถอะ ไม่คิดว่าเธอจะบอกปัดเขา แบทแมนเผลอคิดไปเองว่าเธอมีใจ แต่ในที่สุดก็ต้องมานั่งกินแห้วแบบนี้ ดูท่าว่าศุกร์นี้จะไม่ใช่วันของเขาแฮะ

แบทแมนทำเป็นเลื่อนนิ้วไปตามหน้าจอดูภาพจากโดรนของเขาที่ติดเอาไว้ทั่วเมืองไปพลางมองหาว่าวันนี้มีอะไรที่ส่งเสริมให้เขากลับบ้านเร็วมั้ย ซึ่งก็มี หมายถึงไม่มีน่ะ ใช่ วันนี้ไม่มีอะไรเลย เว้นแต่โจรกระจอกเล็กๆน้อยๆที่แค่พริบตาเดียวก็สามารถจัดการได้เรียบร้อยแล้ว อาจจะเป็นเพราะพรุ่งนี้เป็นวันขอบคุณพระเจ้าล่ะมั้ง วันครอบครัวใครๆก็อยากจะอยู่กับครอบครัวทั้งนั้น

แบทแมนลุกจากเก้าอี้เงียบๆแล้วแอบปลีกตัวออกมาโดยระวังไม่ให้กลุ่มขาเมาท์พวกนั้นรู้ตัว แต่ก่อนลิฟต์จะปิดเพื่อพาเขาไปที่แบทโมบิล แบทแมนเองก็ต้องแปลกใจเมื่อมีร่างๆหนึ่งวิ่งตามเขามาอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสตอนที่เขาใช้ความคิดแทรกตัวเขามา

ซุปเปอร์แมน เจ้าเอเลี่ยนหน้ายิ้มที่ในใจไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แบทแมนไม่ค่อยอยากจะสนทนากับใครเท่าไหร่ในเวลานี้ ซึ่งเดาไม่ยากว่าอีกฝ่ายที่เป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ดีเกินเหตุแถมเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างซุปเปอร์แมนต้องอยากชวนใครก็ตามที่อยู่ในลิฟต์คุยแน่นอน

“สวัสดีแบท เอิ่ม นายกำลังจะกลับเหรอ”

“ใช่” แบทแมนเลือกที่จะตอบห้วนๆออกไป เห็นได้ชัดว่าซุปเปอร์แมนแสดงท่าทีอึดอัดออกมา

“งั้นเหรอ… คือ ฉันรู้เรื่องของนายกับไดอาน่าแล้วนะ”

ใครสั่งใครสอนให้แกมากระแทกแผลคนอื่นเค้าเล่นซุปเปอร์แมน!!

“ฉันกับวันเดอร์วูแมน ทำไม?”

“ก็ไม่คิดว่านายจะขอเธอเดท เห็นๆกันอยู่ว่าเธอก็ไม่ได้ว่าง”

“นายกำลังจะเยาะเย้ย หาว่าฉันโง่งี่เง่า..”

“เปล่า ฉันแค่แปลกใจ”

“แปลกใจอะไร?”

“ไม่คิดว่านายจะรุกหนักขนาดนี้น่ะสิ ฉันคิดว่านายอาจจะไว้เชิงแล้วดูท่าทีอีกซักพัก”

แบทแมนถอนหายใจแรงๆอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่รู้สิ เขาคิดว่าดูท่าทีนานแค่ไหนแต่ถ้าเธอไม่ คำตอบนั้นมันก็ไม่มีวันเปลี่ยน ดังนั้น เรื่องของเขา เวลาไม่ใช่ตัวแปรสำคัญเท่าไหร่นัก

“อย่าลืมว่าอย่างน้อยฉันเป็นใครนะ คลาร์ก เคนท์”

“โอ้ ฉันไม่ลืมง่ายๆหรอกคุณเศรษฐีเพลย์บอย”

บางทีเขาเองก็ต้องมานั่งคิดว่าคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนจริงๆในลีกส์อาจจะเป็นซุปเปอร์แมนก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แบทแมนเองก็ไม่ได้ต้องการเพื่อนหรอกนะ และถ้าจะถามเขาล่ะก็เขาเองก็ไม่นับซุปเปอร์แมนว่าเป็นเพื่อนหรอก

“ฉันขอตัวแล้วกัน”

“เอ่อบรูซ ถ้าไม่ว่าอะไร คืนวันศุกร์นี้นายว่างมั้ย”

วันศุกร์ ที่จริงก็ว่างนะ เอาจริงๆแล้วมันเป็นวันที่เขาตั้งใจจะพาไดอาน่าไปเดทต่างหากล่ะ ในเมื่อโดนสาวเจ้าปฏิเสธซะขนาดนี้แล้ว เขาเองก็ควรจะ…

.

.

.

“ไม่ว่างหรอก ฉันเองก็มีงานต้องทำนะ”

แล้วแบทแมนก็เดินจ้ำอ้าวอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าเจ้าเอเลี่ยนนี้มีจุดประสงค์อะไร อย่างน้อยบรูซ เวย์นก็ไม่ใช่ชายหนุ่มที่จะอกหักแล้วต้องให้เพื่อนชายพาไปดื่มย้อมใจหรอกนะ ขอบคุณในความหวังดีหรอก แต่เขาไม่มีทางไปกับเจ้านี่แน่นอน
วันศุกร์

บรูซยืนเลือกหนังสือในชั้นอย่างใจลอย แต่สายตาก็มักจะถูกดึงให้เข้าหาบทกวีรักเป็นพักๆ ดูเหมือนแผลใจจากสาวน้อยมหัศจรรย์นี่บาดลึกพอสมควรเลยนะ เขาหยิบนิยายสืบสวนมาเปิดผ่านๆก่อนจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะอ่านเลยแม้แต่น้อย

บรูซแหงนมองหน้าต่างบานใหญ่ในห้องสมุดของบ้าน ฟ้าข้างนอกเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน จะว่าไปตอนนี้ก็ค่ำแล้ว วันนี้ทั้งวันบรูซเองก็ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเหมือนกันแฮะ พรุ่งนี้เขาเองก็ต้องไปทำงานเหมือนเดิมแล้ว บรูซใช้เวลากับอาการเจ็บปวดของตัวเองไม่นานนักหรอกนะ

ดูเหมือนว่าสองสามวันมานี้กอตแธมเองก็สงบเสงี่ยมขึ้นเยอะ อาจจะเป็นเพราะเขาเพิ่งจะจัดการอาชญากรตัวเบ้ไปไม่นานมานี้ กอร์ดอนถึงกับเอ่ยปากด้วยความยินดีที่ไม่ต้องอยู่เวรล่วงเวลามาซักพัก เจ้านั่นถึงกับอารมณ์ดีชวนเขาไปทานมื้อค่ำกับครอบครัวในงานวันขอบคุณพระเจ้าเชียว แต่บรูซเองก็อยากพักผ่อนเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ก็ปวดกล้ามเนื้อค้างมาหลายวัน ได้พักซักหน่อยก็สดชื่นขึ้นเยอะ รวมถึงการสมานแผลใจที่ใหม่เอี่ยมอีกด้วย
ตื้ดดดดดดด ตื้ด ตื้ดดดดดดด ตื้ด

จู่ๆโทรศัพท์มือถือของบรูซก็สั่นขึ้นในกระเป๋ากางเกง บรูซมองหน้าจอซักพักก่อนจะกดรับสายด้วยความไม่สบอารมณ์นัก

“สวัสดี โทรมามีธุระอะไร คลาร์ก เคนท์”

“สวัสดีบรูซ คือ ฉันโทรมาเพื่ออยากจะคอนเฟิร์มว่านายจะไม่ไปกับฉันในคืนนี้จริงๆเหรอ”

“คุณเคนท์ ฉันว่าฉันไม่ใช่คนพูดอะไรเข้าใจยากนะ”

“คือ ถ้าให้พูดจริงๆ ฉันอยากให้นายมานะบรูซ”

“แล้วถ้าฉันไม่อยากไปล่ะ?”

“ฉันก็จะไม่บังคับนาย จะไปรับเดี๋ยวนี้ล่ะ”

ไอ้เจ้าบ้า อย่ากลืนน้ำลายตัวเองในทันทีแบบนั้นสิเฮ้ย!!!

ไม่กี่นาทีบรูซก็ได้เห็นคลาร์กในชุดไปรเวทลอยอยู่อีกฟากของหน้าต่าง พวกเขาทั้งคู่สบตากันก่อนบรูซจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมๆกับเปิดหน้าต่างที่ใกล้พวกเขาทั้งคู่มากที่สุดออก

“คลาร์ก ฉันว่าฉันเองก็พูดชัดแล้วนะว่าไม่อยากไป สิ่งที่นายทำอยู่คือการกดดันฉัน”

“เอาน่า มากับฉันแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง นะ..”

บรูซเหล่มองคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยไว้ใจ คลาร์กมองภาพตรงหน้าอย่างนิ่งเกร็ง แต่ซักพักก็เห็นว่าบรูซเองก็ดูอ่อนลงมากทำให้คลาร์กตัดสินใจคว้าร่างตรงหน้าหมับพร้อมทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยความรวดเร็ว ทำเอาบรูซที่ตามไม่ทันต้องจิกบ่ากว้างเป็นที่ยึดเกาะอย่างแรง

เมื่อได้สติแล้วบรูซก็เริ่มเปิดปากพูด

“มาถึงขนาดนี้แล้วจะยอมไปกับนายก็ได้ แต่ถ้านายคิดว่าจะพาฉันไปบาร์เพื่อดื่มปลอบใจฉันล่ะก็ ฉันจะวิ่งออกมาโบกแท็กซี่กลับทันทีเลยนะ เข้าใจมั้ย?”

คลาร์กแอบอมยิ้มให้กับความคิดพิเรนท์ๆของคนตัวเล็ก บรูซจะว่าอะไรมั้ยถ้าเขาเองคิดมากกว่านั้น

พวกเขาทั้งคู่มาหยุดลงที่เกาะๆหนึ่ง คลาร์กค่อยๆวางบรูซลงบนหาดทรายขาว คืนนี้แสงจันทร์สว่างเป็นสีนวลแทนแสงไฟขับให้ผิวของคนตรงหน้าคลาร์กแทบจะเปล่งแสง คลาร์กแอบจ้องเสี้ยวใบหน้าที่นิ่งงันแต่แฝงไปด้วยความประหลาดใจ

“เดี๋ยวคลาร์ก นายเล่นแบบนี้เลยเหรอ นี่ไม่กะให้ฉันหนีเลยใช่มั้ย”

“ตามนั้น”

คลาร์กตอบสั้นๆพร้อมกับค่อยๆล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป้และฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี มือหนาล้วงเจอของที่ต้องการก็ยื่นมาให้เขาตรงหน้า

แก้วช็อต??

พระเจ้าช่วย ไอ้เอเลี่ยนนี่ทำแบบเดียวกับที่เขาคิดเอาไว้เลย อ้อใช่สิ ดื่มย้อมใจในบาร์มันธรรมดาเกินไปสินะ ต้องมาดื่มย้อมใจที่ชายทะเลในเกาะอะไรก็ไม่รู้เนี่ย

“อย่างที่นายคิดเลยบรูซ ดื่มที่บาร์มันธรรมดาเกินไป”

คลาร์กตอบพร้อมกับค่อยๆเทเหล้าเข้าไปในแก้วที่บรูซถือค้างอยู่ในมือ

“มันน่าขยะแขยงนะคลาร์ก เลิกมาอ่านความคิดคนอื่นเค้าซักทีเถอะ แค่ยอมให้นายใช้ตาเอ็กซเรย์เวลาบาดเจ็บนั่นก็เกินทนแล้วล่ะ”

บรูซตวัดสายตามองร่างสูงตรงหน้าก่อนจะตัดสินใจกระดกของในแก้วจนหมดในครั้งเดียวและโยกแก้วหลบปากขวดของคลาร์กที่เข้ามาจรดแก้วที่ปากแก้วของเขาแทบจะทันที

“ไม่เติมหรอก ฉันไม่อยากเมาและพล่ามอะไรไร้สาระ”

ก่อนจะวางแก้วในมือลงบนพื้นทรายหยาบข้างตัวแล้วบิดขี้เกียจน้อยๆ

“ทำไมนายถึงคิดว่านายจะเมาล่ะ คอแข็งอย่างนายแค่ขวดนี้ขวดเดียวนายคนเดียวก็เอาอยู่แล้ว”

เมื่อไปฟังดังนี้บรูซก็หัวเราะหึในลำคอดังๆและตอบไป
“อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าระบบเผาผลาญนายดีแค่ไหนคลาร์ก ฉันไม่หลงกลนายหรอก เดาว่าทั้งชีวิตนายคงไม่เคยเมาล่ะสิท่า”

คลาร์กยักไหล่

“ก็ไม่ค่อยได้ดื่มน่ะ รึไม่ก็ดื่มน้อยๆเท่านั้นเอง”

“ดังนั้น ขวดนั้นทั้งขวด รวมถึงอีกหลายๆขวดในกระเป๋านายก็รบกวนจัดการเองเถอะ อย่างที่ฉันพูด ถ้านายพาฉันมาดื่มย้อมใจล่ะก็ฉันจะกลับบ้าน”

บรูซตั้งท่าจะกดโทรศัพท์ในมือก่อนจะถูกคลาร์กขัดเอาไว้

“เดี๋ยวสิบรูซ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเยอะเย้ยนายเรื่องไดอาน่าแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่านายจริงจัง ฉันเองก็คิดว่าไม่ควรปล่อยนายอยู่คนเดียว อย่างน้อยถ้านายมีคนให้ระบาย…”

“ฉันจะไม่พล่ามอะไรไร้สาระคลาร์ก ฉันไม่ใช่คนพวกที่ผิดหวังในความรักแล้วเจ็บเจียนตาย จำเอาไว้”

บรูซขู่ฟ่อ เขาเกลียดทัศนคติของพวกที่ผิดหวังในความรักแล้วฆ่าตัวตาย ความรักอะไรนั่นจะไปสำคัญกว่าชีวิตตัวเองได้ยังไงกันล่ะ จิตแพทย์มีก็ไม่ไปหา แย่ชะมัด

“ไม่บรูซ ฉันไม่ได้กลัวนายฆ่าตัวตาย ฉันแค่ไม่อยากให้นายเก็บมันไว้คนเดียว”

สายตาแน่วแน่ของร่างสูงสะดุดตาบรูซเป็นอย่างมาก คลาร์กส่งสายตามาเป็นทำนองว่าเขาเป็นห่วงคนตรงหน้าจริงๆนะ ในขณะที่บรูซเองก็ส่งสายตาตอบกลับไปว่า เรื่องของฉันไม่ใช่เรื่องของนาย เลิกยุ่งเรื่องนี้ซักทีเถอะ
“บรูซ ที่จริงแล้วฉันเองก็มีเรื่องที่ต้องบอกนายนะ”

บรูซกะพริบตาปริบๆเมื่อคนตรงหน้าเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหันแทบจะไม่ทันได้ตั้งตัว

“รีบๆพูดมาก่อนฉันจะตัดสินใจกลับ”

คลาร์กสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยประโยคด้วยโทนเสียงเบา แต่กลับได้ยินชัดแจ๋วเมื่ออยู่ต่อหน้าความมืด ดวงจันทร์และชาดหาด

“ฉันรักนาย รักนายมาตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันฉันไม่เคยสลัดภาพนายออกจากหัวได้เลย”

บรูซนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
เอาจริงเหรอ เจ้านี่คิดว่าฉันไม่รู้เรื่องนี้เหรอ
อย่างแรก ทุกคนในลีกส์รู้เรื่องนี้ รวมถึงเขาด้วย

อย่างที่สอง เขาตามไปกำชับกับกลุ่มขาเมาท์ แฟลช แลนเทิร์นและชาแซมห้ามพูดเรื่องนี้

และอย่างสุดท้ายคือ ก็ไม่ได้ดูถูกนะ แต่บรูซประหลาดใจพอสมควรที่คลาร์กบอกมันกับเขา เขาคิดไปล่วงหน้าแล้วว่าคลาร์กจะฝังมันไปกับหลุมศพตัวเอง

ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องที่จะต้องมาอยู่ในสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนแบบนี้ ที่จริงแล้วบรูซเองก็ลำบากใจเล็กน้อยที่คลาร์กรู้เรื่องของเขากับวันเดอร์วูแมน ในใจลึกๆเขาก็แอบเป็นห่วงร่างสูงตรงหน้า ของขวัญวันคริสมาสต์ที่เขาปฏิเสธทุกปีจะถูกส่งมาวางที่ข้างหน้าต่าง เหลือเพียงวันวาเลนไทน์ที่คลาร์กยังไม่เคยให้ของขวัญเขาอย่างโจ่งแจ้งเท่านั้น ทำให้บางเวลาบรูซเองหลงลืมไปว่าคลาร์กรู้สึกยังไงกับเขา

แต่เหตุการณ์ตรงหน้าเป็นสิ่งยืนยันว่าความรู้สึกคลาร์กไม่เคยเปลี่ยน ทำเอาบรูซนึกถึงคำพูดของวันเดอร์วูแมน

‘ขอบคุณสำหรับความรู้สึกนะบรูซ แต่ฉันเองก็มีคนรักอยู่แล้ว’

‘ไม่สนใจจะเดทด้วยกันซักครั้งจริงๆเหรอ’

‘ไม่ล่ะแบท สตีฟเป็นคนอ่อนไหว เขาคงรับไม่ได้ถ้าฉันทำแบบนั้น’

‘โอเค ฉันเข้าใจแล้ว’ แบทแมนผลุบตาลงต่ำด้วยความผิดหวัง

‘เธอไม่สนใจจะลองเดทกับซุปเปอร์แมนดูเหรอ เขาเป็นคนดีนะ’

‘อา ฉันไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลย แต่ถ้าเขาเอ่ยปากอาจจะไม่ปฏิเสธก็ได้ เว้นแต่เธอจะเดทกับฉันซักครั้ง’แบทแมนยกยิ้มยั่วหญิงสาวตรงหน้า หวังเพียงว่าเธอจะชายตามองเขาบ้างแม้เพียงเล็กน้อย

‘โทษทีนะแต่ฉันไม่ได้โสดแบท อีกอย่างคือเดิมพันเรื่องคลาร์ก ฉันลงข้างเดียวกับชาแซมคือสมหวัง ดังนั้นฝากด้วยนะจ้ะ’แล้วหล่อนก็เดินหันหลังจากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มในชุดค้างคาวมองตามอย่างอึ้งๆ

หลังจากนั้นเขาเองก็ไม่ได้เอาคำพูดของวันเดอร์วูแมนมาคิดแล้วก็เลือกที่จะลืมมันไปเลย ไม่บ่อยครั้งที่บรูซจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่ได้เตรียมพร้อม แต่เขาเองก็ไม่ได้จนมุม
“แล้วนายต้องการอะไร”

คลาร์กที่มีเลือดฝาดขึ้นเต็มใบหน้า หลังจากเอ่ยความในใจไปยาวเหยียดก็สะดุ้งเล็กน้อยกับคำถามห้วนๆของอีกฝ่าย แต่เขาเองก็ไม่ได้โกรธอะไร อาจเป็นเพราะรู้จักกับบรูซมานานทำให้รู้ว่าลักษณะการพูดแบบนั้นเป็นเอกลักษณ์ของบรูซเอง

“ก็ไม่อะไร แค่สนใจว่านายจะเดทกับฉันดูซักครั้งมั้ย”

บรูซแค่นหัวเราะและหันหน้าหนีสายตาร้อนแรงของคลาร์ก เขากอดอกแน่นแล้วค่อยๆเสยผมอย่างขัดใจ

“ขอโทษทีนะ แต่ถ้าจำไม่ผิดฉันเองก็เพิ่งถูกปฏิเสธนะ การจะให้ตอบตกลงทันทีนี่มันคงเป็นอะไรที่.. ไม่รู้สิ แต่ฉันคิดว่าคงต้องใช้เวลา”

“ฉันรู้ แค่นายเก็บเอาไปคิดซักนิดฉันก็พอใจแล้วล่ะ”

บรูซแปลกใจคนตรงหน้าเล็กน้อย บทจะเอาแต่ใจบางครั้งเขาก็สู้ไม่ได้ แต่พอบทจะยอมรับก็ดูยินยอมพร้อมใจไม่ขัดอะไรเขาเลย คงจะเป็นข้อดีล่ะมั้ง
บรูซเปลี่ยนจากท่ายืนกลายเป็นทิ้งตัวนั่งบนพื้นทรายอย่างแรงและหยิบแก้วที่วางอยู่เอามาถือไว้ในมือ พร้อมกับยื่นไปตรงหน้าคนตัวใหญ่ที่ยังยืนคร่อมหัวเขาอยู่

“จะมองอีกนานมั้ย จะยอมดื่มเป็นเพื่อนนายก็ได้คืนนี้น่ะ เนื่องด้วยฉันเองก็ไม่อาจให้คำตอบกับนายได้ทันที นี่อาจจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วล่ะ”

คลาร์กค่อยๆแปรยิ้มกว้างออกมา ให้ตายเถอะ บรูซของเขาใจดีที่สุดเลย ภายในหน้ากากที่เรียบเนียนคล้ายกับไร้ความรู้สึกนั้น ภายในกลับอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่ตอนนี้มีเพียงเขาคนเดียวที่ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด

“ไม่กลับบ้านแล้วเหรอ”

“หรือว่านายอยากให้ฉันกลับกันล่ะ” บรูซยกยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกชั่งในใจ

“ไม่หรอก ฉันอยากให้นายนั่งอยู่ด้วยต่างหาก”

คลาร์กไม่ตอบอะไร บรูซก็ไม่พูดอะไร พวกเค้าทั้งคู่ปล่อยให้ช่วงค่ำคืนค่อยๆก้าวเดินไปอย่างช้าๆ มีบ้างบางช่วงที่คลาร์กลอบสังเกตสีหน้าของคนตัวเล็กข้างๆ ใบหน้าของบรูซที่มองจากด้านข้างขับให้สันจมูกของบรูซโด่งเป็นสันและปลายที่เชิดน้อยๆแสดงให้เห็นถึงความรั้นของเจ้าของ

เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานและแสนสั้นไปพร้อมๆกันจนบรูซเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเองก็ไม่เคยได้ใช้เวลากับใครซักคนอย่างยาวนานและสงบเงียบแบบนี้มาก่อน แต่การที่เขายอมใช้เวลาไปกับคลาร์กไม่ได้หมายความว่าเขาเองรู้สึกถูกใจอะไรกับอีกฝ่ายมากนักหรอก เพียงแค่เขาคงปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่คนเดียวตอนนี้ไม่ได้ เหมือนกันกับตัวเขาเองที่คิดว่า ในเวลาที่หัวใจบอบช้ำ การได้ใช้เวลากับใครซักคนเองก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก
แต่เวลาที่ยาวนานและแสนสั้นนั้นก็ถูกขัดจังหวะขึ้นโดยคนตัวเล็กกว่าจนได้

“ฉันคิดว่าได้เวลากลับแล้วล่ะ รบกวนช่วยพาไปส่งหน่อยสิ”

“จะให้ฉันไปส่งจริงๆเหรอ”

คลาร์กพูดด้วยความฉงน เขาคิดว่าบรูซจะไม่อยากให้เขาไปส่งเพราะความลำบากใจเสียอีก

“นายพาฉันมาก็รับผิดชอบโดยการพากลับหน่อยสิ เจ้าโง่นี่!!”

“อ โอเค ไม่มีปัญหา”

คลาร์กพาบรูซกลับมาส่งที่ระเบียงห้องนอน เพียงบรูซคิดว่าขากลับคลาร์กใช้เวลาไปมากกว่าขาไป แต่ก็สลัดความคิดนั้นออกไปเพราะเจตนาในการคิดมันดูหลงตัวเองเกินไป ก่อนที่จะคลาร์กจะของแยกตัวกลับไป เขาก็หันกลับมาหาบรูซ

“นี่บรูซ”

“หืม?”

“ขอมือหน่อยสิ”

บรูซหงายฝ่ามือยื่นออกไปตรงหน้า ในใจคิดเพียงว่าอย่าให้เจ้าเอเลี่ยนเล่นตลกอะไรกับเขาแล้วกัน สายตาเพ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวงถูกส่งตรงมายังบุรุษร่างใหญ่ เขาแอบยิ้มในใจเพราะการเล่นสนุกที่เขาคิดมันคงเป็นอะไรที่กวนใจบรูซมากไม่ใช่น้อย

คลาร์กค่อยๆใช้อุ้งมือหนาโอบรอบฝ่ามือที่ถูกส่งมาตรงหน้าพร้อมกับค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆกับดวงหน้าของคนตัวเล็กกว่า สายตาของทั้งคู่ถูกบังคับให้จดจ้องประสานกันโดยร่างสูง เขายื่นหน้าเข้าใกล้บรูซมากขึ้น บรูซเองก็พยายามที่จะยืดตัวหนี
ชั่วพริบตา คลาร์กฉวยโอกาสพลิกฝ่ามือที่หงายมาตรงหน้าเขาให้คว่ำลงและประทับจูบลงไปหลังฝ่ามือนั้นหนักๆทำเอาบรูซตั้งตัวไม่อยู่
“ไอ้ ไอ้เอเลี่ยน…”บรูซขมวดคิ้วใส่จนเป็นปม เขาพยายามจะคว้าตัวจอมพลังเอาไว้ แต่ดูเหมือนคลาร์กเองก็รู้ตัวและวางแผนมาดี คลาร์กลอยข้ามระเบียงออกไปไกลเกินมือเขาจะเอื้อมถึง

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับบรูซ”คลาร์กส่งยิ้มยิงฟันให้บรูซอย่างมีความสุขจนออกนอกหน้า

“อย่าหวังว่าจะได้เข้าใกล้ฉันมากกว่านี้เลย!!”บรูซพูดเสร็จก็หันหลังเดินเข้าห้องไป

แต่ก่อนทั้งสองจะแยกจากกันจริงๆบรูซเองก็เผลอตัวยื่นหน้าออกจากกรอบประตูมา ซึ่งการกระทำนั้นทำให้ต้องสบตากับคลาร์กที่ยังยื่นส่งอยู่ บรูซถึงกับเปิดม่านแล้วยื่นหน้าออกมาจังๆ

“จะไปไหนก็รีบไปเลยคลาร์ก เบื่อจะเห็นหน้านาย!!”

“แต่ผมไม่เบื่อหน้าคุณนะ..”คลาร์กเอียงคอพูดและยังติดยิ้มที่น่าหมั่นไส้อยู่

“ถ้านายไม่รีบไปเดี๋ยวนี้ฉันไม่รับรองความปลอดภัยให้นายหรอกนะ”บรูซพูดพลางทำเป็นป่ายปัดมือไปตามลิ้นชักอย่างช้าๆ นั่นทำให้คลาร์กสะดุ้งโหยงเพราะความลับที่คนตรงหน้ามีคลาร์กเองก็ไม่แน่ใจว่าแม้แต่เขาจะเอาชนะได้มั้ย คลาร์กจึงจำเป็นต้องหันหลังพุ่งตรงกลับบ้านทันที แต่ก่อนจะจากลากันจริงๆคลาร์กเองก็ไม่วายหันกลับมาอีก

“ราตรีสวัสดิ์นะครับ”แล้วคลาร์กก็หายไป ทิ้งไว้เพียงคลื่นลมแรงที่ตีจนม่านโบกสะบัดข้างตัวบรูซ ร่างเพรียวมองตามเส้นทางที่คลาร์กน่าจะตรงไปซักพักก่อนจะหันกลับเข้าตัวบ้านด้วยเนื้อตัวที่เหนื่อยอ่อนพลางคิดถึงใบหน้าสันคมที่ยิ้มแฉ่งน่าหมั่นไส้

“เฮอะ.. ไอ้เอเลี่ยนเอ้ย”

.

.

.

โชคดีจริงๆที่บรูซไม่ได้ส่องกระจกเพื่อมองหน้าตัวเอง เขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่