[Fanfiction] lanternbat [Hal jordan/Bruce wayne]

ฟิคเรื่องนี้เคยลงไปแล้วเว็บนึงแต่เข้ายากมากก็เลยอยากจะย้ายมาไว้ที่นี่นะคะ

****************************************

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ดวงตาเอาแต่เฝ้ามองปอยผมที่ไล้ไปตามแผ่นหลังเธอคนนั้น
ไม่รู้เมื่อไหร่ต้องคอยหลบสายตาที่น่าค้นหาดวงนั้นยามมันพยายามเพ่งมองมา
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวข้ารู้สึกได้ถึงจังหวะภายในอกที่เต้นรัวยิ่งกว่ากลองของนักดนตรียามที่ต้นแขนเธอได้เฉียดเข้าใกล้
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ข้าไม่รู้…

.

.

.
“ฮาล แม่เจ้าบอกให้ข้าบังคับเจ้าไปงานคืนนี้ให้ได้”
เสียงตะโกนเชิงตำหนิของ’แบร์รี่’ดังมาตามทางตั้งแต่เขาเปิดประตูห้องของเพื่อนสนิทของเขา ‘ฮาล’ที่ตอนนี้เอาแต่นั่งจุมปุ๊กอยู่บนโต๊ะทำงาน
ฮาลหันกลับมามองแบร์รี่อย่างไม่สบอารมณ์ เขายกปากกาหมึกซึมที่ตั้งใจจะจรดลงกระดาษอย่างอ่อนช้อยลง จงใจกระแทกโต๊ะแรงๆก่อนจะกล่าวขึ้น
“เจ้าเป็นเพื่อนข้าไม่ใช่เพื่อนแม่ข้า เข้าใจที่ข้าพูดนะแบร์รี่”
ฮาลใส่อารมณ์ในคำพูดตัวเองอย่างเกรี้ยวกราด เรื่องของมารดาไม่เคยหนีไปไหนไกลกว่างานเลี้ยงสังสรรค์ที่จัดขึ้นวันเว้นวัน ความฟุ้งเฟ้อไร้ขีดจำกัดของขุนนางและข้าราชการชั้นยศต่างๆที่ไร้ความใส่ใจในเรื่องอื่นๆนอกจากว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร คนพวกนั้นมีความสนใจที่มากเกินไปในเรื่องของคนอื่น ฮาลเบื่อการถามซอกแซกในเรื่องส่วนตัวของเขามากและเขาเชื่อว่าแบร์รี่ก็ไม่ได้ชอบ
“ข้าไม่ชอบงานพวกนั้น อาหารก็ไม่ได้รสชาติดีไปกว่าพ่อครัวของข้า ทำไมข้าต้องดั้นด้นไป”

ฮาลขมวดคิ้วใส่แบร์รี่ที่ยังโบกซองจดหมายที่น่าจะเป็นการ์ดเชิญไปมาตรงหน้า
“แต่รอบนี้พิเศษนะ งานนี้ไม่ใช่ธรรมดาๆเชียว”

แบร์รี่พูดพลางยักคิ้วหลิ่วตาด้วยความตื่นเต้นทำให้ฮาลฉงนกับท่าทางไม่น่าไว้วางใจของเพื่อนชาย
“พิเศษยังไง”
“ก็เพราะว่างานนี้จัดที่พระราชวังน่ะสิ!!”
ฮาลนิ่งใส่เพื่อตอบกลับ
“แล้วยังไง จัดที่พระราชวังไม่ได้ช่วยให้ข้าสนใจจะไปมากขึ้นหรอกนะ”ฮาลกอดอกแน่น
นั่นทำแบร์รี่หุบยิ้มไปชั่วขณะและทำสีหน้าจริงจังขึ้น
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่างานน่าสนใจ แต่เพราะว่าบัตรเชิญจากพระราชวังไม่ใช่อะไรที่เราจะเมินได้นะฮาล”ฮาลยังทำหูทวนลมใส่

“แถมระบุเชิญทายาทของตระกูลอย่างเจ้าอีก ไม่รู้ล่ะ รอบนี้เจ้าคงเบี้ยวไม่ได้แล้ว แม่เจ้าก็เตรียมชุดกับรถม้าไว้แล้วแถมกำชับข้าอย่างแน่นหนา ข้าเองก็รับเงินมาจากแม่เจ้าแล้วจะเข้าข้างเจ้าก็ไม่ได้ด้วยสิ”
“นั่นไง เจ้ารับเงินมาจากแม่ข้าจริงๆด้วย”

ฮาลถอนหายใจออกมายาวเหยียดและเริ่มเตรียมตัวจะเขียนงานต่อ

“แต่ข้าคงจะไปไม่ได้หรอกนะถ้างานส่วนของข้ายังไม่เสร็จ”
“ไม่เป็นไร มีข้าทั้งคนงานเสร็จแน่นอน”

แบร์รี่ยืดอกพูดด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ให้มันจริงเถอะ”ฮาลกลั้วหัวเราะพร้อมหยอดคำพูดเชิงเสียดสีอย่างไม่ใส่ใจในคำพูดของเพื่อน
ซึ่งอากัปกิริยาอันมั่นใจเกินเหตุของฮาลทำให้เขาต้องมายืนหงอยอยู่ข้างๆโคมไฟกระดาษในงานเลี้ยง
พระราชวังเต็มไปด้วยแสงไฟสาดส่องไปทั่ว แบร์รี่ที่พาเขามาเองก็หายเข้าโต๊ะไพ่โป๊กเกอร์ไปซะอย่างนั้น ฮาลทำได้แต่เพียงจิบเครื่องดื่มแก้วน้อยในมือแก้ประหม่า คนรอบตัวฮาลต่างก็มีวงสนทนาของตัวเอง ฮาลไม่ใช่ผู้หลีกหนีสังคมอีกทั้งชอบการพูดคุย เพียงแต่ว่าการไปศึกษาต่อต่างประเทศทำให้เขารู้สึกว่าการพูดคุยกับนักวิชาการผู้มีความรู้นั้นสร้างความบันเทิงให้เขาได้มากกว่าวงสังสรรค์ที่ไร้แก่นสาร
ตอนนี้โต๊ะไพ่โป๊กเกอร์กำลังร้อนแรงทำให้แขกหลายๆคนเลือกที่จะไปมุงดูกันช่วยให้ฮาลหายใจหายคอโล่งมากขึ้น เขากวาดตามองไปรอบๆก่อนจะสะดุดตาเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีผมสีดำขลับ
อาจเป็นรอยยิ้มมุมปากที่แฝงไปด้วยสเน่ห์ของเธอหรือจมูกเล็กๆเชิดรั้นที่ชวนให้เมียงมอง ราวกับเวลารอบตัวไหลผ่านไปช้าๆแม้แต่ลมที่พัดโกรกชายหนุ่มก็ไม่รู้สึกเย็นสบาย
ใจดวงน้อยๆในอกฮาลเต้นรัว ใบหน้าร้อนฉ่า เหงื่อเม็ดเล็กค่อยๆผุดเรียงตัวกันบนจมูกโด่ง ฮาลวางแก้ววิสกี้ลงบนโต๊ะข้างตัวทั้งที่ดวงตายังเฝ้าจับจ้องไปที่หญิงสาว
เธอมีผมสีดำยาวไล้ไปตามกรอบหน้า เครื่องหน้าที่ถูกจัดเรียงอย่างเข้าทีขับกล่อมให้รูปหน้านั้นดูเย้ายวน ดวงตาเฉียบสีฟ้าเหล่มองไปทั่วก่อนจะหันกลับมาสบกับชายหนุ่มที่ยังยืนอยู่
ดวงตาที่ไร้ความหมายของหญิงสาวได้เคลื่อนผ่านและแวะเข้ามาหาฮาล แต่ฮาลกลับตอบกลับเธอทางสายตาไม่ได้เพราะเขาเลือกที่จะหันหลังหนีสายตาเป็นประกายนั้น
ฮาลพยายามควบคุมเสียงในอกที่ดังก้องในหูและกระแสไฟฟ้าที่ไหลพล่านในตัวของเขาให้สงบ เขาหันไปเจอเข้ากับแจกันที่ถูกขัดเงาวับและได้เห็นใบหน้าของตัวเองที่แปลกตา ใบหน้าเขานั้นทั้งฝาดแดงและดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่รู้ตัว
แต่เมื่อหันกลับไปอีกทีเธอคนนั้นก็หันหน้าผลัดไปทางอื่นเสียแล้ว ฮาลโล่งใจปนๆไปกับเสียดาย แต่แล้วเขารวบรวมความกล้าขึ้น หายใจเข้าและถอนออกเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินตรงไปที่หญิงสาวที่นั่งกอดอกอยู่
“สวัสดี ข้า.. ข้าชื่อฮาล จอร์แดน”
หญิงสาวมองเขาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“ฉันบรูซ บรูซ เวย์น ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
สิ่งหนึ่งที่ฮาลรู้สึกแย่กับตัวเองคือ เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาแทบจะไม่รู้วิธีการทำตัวกับหญิงสาวเท่าไหร่นัก ฮาลทำได้เพียงนั่งลงข้างๆเธอบนเก้าอี้บุนวมตัวยาวที่เธอนั่งอยู่ก่อนแล้ว
ฮาลพบว่าเธอนั้นราวกับประกอบขึ้นจากความรักความใส่ใจของพระเจ้า ผิวเรียบเนียนที่มีไฝเม็ดเล็กๆนาบอยู่บนหัวไหล่มนและผมดำสลวยที่เรียงตัวงามงอนดูเป็นระเบียบ อีกทั้งนิ้วเรียวยาวที่คอยคลอเคลียที่แก้วน้ำอย่างใจลอยของเธอทำให้ฮาลแทบไม่ได้วางสายตาลงแต่ก็คอยหลบลี้เวลาหญิงสาวเหล่มองกลับ
“ข้าได้ยินเรื่องของท่านมา” จู่ๆหญิงสาวก็พูดขึ้นลอยๆทำเอาฮาลสะดุ้งขึ้นตัวโยนจากการเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาทำการเสียมารยาทกับหญิงสาวอยู่ดังเช่นการไล่สายตามองไปทั่วร่างกายเธอ
“เรื่องของข้า!?”
หญิงสาวพยักหน้าตอบ
“ได้ยินว่าเพิ่งกลับมาจากไปเรียนที่เยอรมัน”
“อ่า เรื่องนั้นเอง”ฮาลไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองกำลังยืดอกและเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจอยู่
คนทั้งคู่คุยกันได้อย่างถูกคอ ความอยากรู้อยากเห็นอย่างไว้เชิงของบรูซส่งให้ฮาลยอมเปิดปากแสดงความคิดและความรู้ของเขาออกมาอย่าเป็นธรรมชาติ
ไม่นานนักหลังจากงานเลี้ยงคืนนั้นทั้งคู่ก็สนิทสนมกันและเป็นเพื่อนทางจดหมายเนื่องด้วยฮาลไม่มีความกล้าพอจะไปเยี่ยมเยียนเธอที่คฤหาสถ์ หรือถ้าเขาจะได้เห็นหน้าบรูซอีกก็เป็นเพียงงานเลี้ยงสังสรรค์ที่เขาอดทนไปเพื่อจะได้พูดคุยกับหญิงสาวต่อหน้า
บรูซเป็นคนประหลาด ไม่สิ ถ้าหากพูดว่าหญิงสาวหัวก้าวล้ำแบบนั้นเป็นคนประหลาด ฮาลคงจะเป็นคนแปลกแยกแทน
บรูซเป็นคนช่างฝันและมีความถือตัวเล็กน้อย แต่เธอมีจุดเด่นตรงความฉลาด บรูซเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ใครจะมาจูงจมูกไปได้ง่ายๆ อีกทั้งเธอยังสามารถปั่นหัวคู่สนทนาเธอได้อย่างเรียบง่าย
แม้แต่ฮาลเองถ้าไม่ระวังก็มักจะโดนเธอจิกกัดด้วยวาจาคมคายอย่างยากที่จะเถียงกลับเช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวลทำให้ฮาลหลงรักเธออย่างหัวปักหัวปำโดยเขาคิดว่าเธอไม่รู้ แต่ถึงแม้ภายในใจเขาจะร้อนแรงเพียงใดเขาก็ไม่มีความกล้าที่จะบอกกล่าวให้เธอฟัง ที่เขาทำก็มีเพียงแค่ลูบไล้ไปตามเนื้อกระดาษของจดหมายโดยจินตนาการว่ามันคือมือเล็กๆของเธอ
“เจ้ายังติดต่อกับเธออยู่อีกเหรอ”

ระหว่างที่ฮาลกำลังเพ่งพินิจเนื้อหาในจดหมายทุกกระเบียดนิ้ว แบร์รี่ก็พูดขึ้นพร้อมฉวยซองจดหมายที่ระบุชื่อฮาลมาไว้ในมือ
“เรื่องของข้าน่า..”ฮาลฉกมันกลับมาคืน
“ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าข้าควรพูดเรื่องนี้มั้ย หรือว่าเรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน แต่ข้าก็อยากให้เจ้าร่วมรับรู้นะ”แบร์รี่กล่าวช้าๆด้วยน้ำเสียงที่แสดงความไม่สบายใจและเคร่งเครียดทำให้ฮาลต้องหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่เงยหน้าขึ้นมาฟัง
“มีอะไรก็พูดมาอย่าอ้อมแอ้ม”ก่อเกิดความไม่สงบในจิตใจของฮาล เขาหันเก้าอี้มาหาแบร์รี่ทั้งตัวเพื่อตั้งใจฟัง
“คืองี้ นาง เอ่อ คุณเวย์นน่ะ.. มีกำหนดที่จะต้องแต่งงานกับรัชทายาท ก็เจ้าชายอันดับหนึ่งนั่นแหละ ข้าไม่ค่อยสบายใจนักที่เจ้า..เป็นแบบนี้ เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดนะฮาล”คำพูดอ้อมค้อมของแบร์รี่ทำให้ฮาลนิ่งอึ้ง เขาไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่แบร์รี่เองก็บอกเขาว่ามันเป็นเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาเช่นกันแต่ผู้ใหญ่เองก็เป็นคนเล่าให้ฟังดังนั้นจะเพิกเฉยไปก็ใช่เรื่อง
ฮาลตัดสินใจเขียนเรื่องการแต่งงานของบรูซลงในจดหมายโดยไม่ทันคิดและแอบรู้สึกว่าเขาไม่น่าเขียนลงไปเลย ไม่นานนักบรูซก็ตอบกลับมา เนื้อหาในจดหมายบอกว่าเธอไม่อยากพูดเรื่องนี้ในจดหมาย จึงนัดวันเวลาแล้วถามฮาลว่าสะดวกจะมาหาเธอมั้ย แน่นอนว่าฮาลไม่รีรอเลย
บรูซนัดฮาลออกมาที่สวนสาธารณะ ฮาลไปรับเธอที่คฤหาสถ์โดยรถม้าของเขา บรรยากาศในรถม้าไม่ได้ตึงเครียดมากเพราะฮาลและบรูซเองก็เป็นเพื่อนสนิทที่คุยถูกคอกันคู่หนึ่ง
ฮาลชวนเธอลงเรือพายลำเล็ก บรูซไม่เคยลงเรือพาย ดวงตาเธอมีแววประกายความตื่นเต้นแอบแฝงอยู่ ฮาลพายเรือลำเล็กนั้นพาเธอไปกลางสระน้ำ รอบตัวพวกเขามีชายหญิงลงเรือเต็มไปหมด เพียงแต่ไม่มีใครสนใจกันและกันเพราะมัวแต่สนใจในคู่ของตนเอง
“เรื่องที่เจ้าถามข้าน่ะ เรื่องงานแต่งงาน”

บรูซเปิดประเด็นขึ้นหลังจากฮาลเลือกเบี่ยงประเด็นไปทั่วจนเลอะเทอะ
“เจ้าจำงานเลี้ยงที่ปราสาทที่เราเจอกันครั้งแรกได้มั้ย”
“ก็พอจำได้ มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วนี่นะ”

ฮาลหัวเราะแห้งๆ
“งานเลี้ยงนั่นเป็นงานเลี้ยงที่จัดให้ข้าไปเจอกับเค้า แต่ว่าเค้าก็ไม่มา เห็นว่าติดว่าราชการที่ต่างประเทศ” ‘เค้า’ที่ว่าน่าจะหมายถึงเจ้าชายรัชทายาท คู่หมั้นของบรูซ
“แย่จัง…”ฮาลเผลอแสดงความเห็นใจก่อนจะรู้สึกตัวว่าบรูซไม่ชอบรับความเห็นใจ แต่คราวนี้บรูซเองก็ทำเพียงแค่การยิ้มน้อยๆมุมปากแต่ดวงตากลับทอดมองไปไกล
“ข้าเองก็คิดเอาไว้แล้วว่าคงจะได้เจอหน้าเค้าครั้งแรกในวันแต่งงาน แต่เมื่อไม่นานมานี้ เค้ามาที่คฤหาสถ์ข้าและได้คุยกับท่านพ่อแล้ว ข้าเองก็ได้ทักทายกับเค้านิดหน่อยแล้วล่ะ”

บรูซเท้าคางเอียงไปมาระหว่างที่เล่า

“ที่จริงแล้วข้ากับเค้าก็หมั้นกันตั้งนานแล้ว เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เค้ายื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้นอกจากพวกผู้ใหญ่ทำให้ในวงสังคมเองก็พูดกันอย่างออกรสออกชาติ”
“อีกอย่างเค้าให้สัญญาข้าว่าเขียนจดหมายส่งมาให้อย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ข้าเกร็งในวันแต่งงาน เค้าบอกข้าว่าไม่ได้ชอบการแต่งงานแบบนี้เหมือนกับข้าเพียงแต่พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก”บรูซเหลือบมองท้องน้ำด้วยประกายความผิดหวัง ฮาลไม่เคยเห็นท่าทีที่ฉาบไปด้วยความอ่อนแอแบบนี้ของบรูซเลย เขารู้สึกอยากปกป้องเธอ
“และข้าเองก็จะมีอายุครบกำหนดในอีกไม่นาน อีกเดี๋ยวข้าก็จะไม่ได้เที่ยวเล่นแบบนี้แล้วล่ะ”
“บรูซ.. ข้า”ฮาลพูดแทรกขึ้นด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นภายในอก เขาอยากบอก อยากบอกคนตรงหน้าเหลือเกินว่ารู้สึกยังไง อยากจะปลอบประโลมเธอให้ปราศจากความเศร้าและมลทินใดๆ ความรู้สึกของฮาลกำลังปะทุภายในใจลึกๆของเขา
“ข้ารู้ เจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้านะ ข้าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังหรอก”บรูซหันกลับมายิ้มให้ฮาล ทำเอาฮาลแทบจะหุบปากปิดในทันที
ข้า.. ข้าเป็นที่ปรึกษาให้บรูซ
บรูซที่ข้ารัก
.

.
แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ..
ฮาลยิ้มรับทำให้บรูซเริ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้น พวกเขายังคงพูดคุยกันต่อบนเรือพายลำเล็กๆ บนโลกใบน้อยๆที่มีเพียงพวกเขา
ก่อนบรูซจะเดินลงจากรถม้าสู่คฤหาสถ์ของเธอ เธอหันกลับมาหาฮาลแล้วใช้อุ้งมือน้อยๆลูบไปตามใบหน้าและสันกรามของชายหนุ่มอย่างช้าๆ
“ฮาล ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร”
“…”ฮาลนิ่งค้างรับสัมผัสจากมือเล็กๆ เขาไม่พูดอะไรเพราะความคิดเขาในตอนนี้ช่างกระเจิดกระเจิง
“ความรู้สึกของเจ้า ข้ารับเอาไว้ไม่ได้”
“…”
“แต่ว่า..”
“…”
“ขอบคุณเจ้ามากที่ยอมเป็นเพื่อนกับข้า ที่เจ้ายอมเป็นที่ปรึกษาให้ข้า..”
“…”
“ข้าดีใจมาก..”
“…”
“แล้วเจอกันใหม่คราวหน้านะ แล้วข้าจะเขียนจดหมายไปหา”
แล้วรถม้าก็แล่นผ่านไป ฮาลได้แต่มองบรูซที่ยืนส่งซักพักก่อนจะเดินเข้าประตูไป
ฮาลไม่รู้ว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ เขาได้แต่นั่งทำงาน ทานอาหาร เข้านอน ทำกิจวัตรประจำวันเว้นเพียงแค่งานเลี้ยงที่เขาเลิกไป ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีก็มีจดหมายที่ลงชื่อเขา เขาเปิดผนึกก่อนจะพบว่า
มันคือบัตรเชิญของงานแต่งงานบรูซ
กับเจ้าชาย..
ฮาลได้แต่นั่งจ้องมันทั้งวัน งานจะจัดในอีกไม่กี่วันที่จะถึง เขาควรทำยังไงดีนะ เขาควรจะไปมั้ย
ฮาลนั่งขบคิดจนไม่เป็นอันทำอะไร จนในที่สุด วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันสำคัญ ฮาลได้แต่เฝ้ามอง คอยแล้วคอยเล่าจนดึกดื่น เขารอคอยอะไร เฝ้าหวังในอะไร เฝ้าหวังว่าบรูซจะวิ่งมาหาเขาแล้วบอกเขาว่ารักเขางั้นเหรอ ช่างน่าขำ นั่นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน แม้แต่การบอกรักเธอก็สามารถรับรู้ได้เองโดยที่เขาไม่ได้บอก
ฮาลเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาไม่เคยเอ่ยปากพูดเลย
เขาช่างไร้ความกล้าเหลือเกิน…
ฮาลเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานของเขาออกแล้วล้วงมือเข้าหยิบเอาปืนกระบอกเล็กๆมาไว้ในมือ
เขาจ่อมันเข้ากับขมับ..
ดวงตาข้าราวกับมีไว้เฝ้ามองนางเพียงคนเดียว
จิตใจข้ามีไว้คิดถึงเพียงแต่เรื่องราวเกี่ยวกับนาง
ร่างกายนี้ใช้ขับเคลื่อนเพื่อนางเท่านั้น..
เขากำลังจะลั่นไก
ก่อนจะ…
“โว้วววให้ตายเถอะฮาล!!!!”
แบร์รี่นั่นเอง..
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ดึกดื่น”ฮาลค่อยๆวางปืนลงกับโต๊ะไม้ เขาเอ่ยปากถามขึ้นโดยไม่สนใจว่าเมื่อครู่กำลังทำอะไรอยู่
“เจ้านั่นแหละ!! เมื่อกี้เจ้า.. จะทำอะไร”

แบร์รี่ค่อยๆวางตะเกียงน้ำมันลงบนโต๊ะด้วยมือไม้สั่นเครือ ก่อนจะก้าวฉับมาที่โต๊ะทำงานของเพื่อนสนิทแล้วก้มมองของกระจัดกระจายบนโต๊ะ
บัตรเชิญกับปืนกระบอกเล็กถูกวางเอาไว้ข้างกันอย่างสวยงาม..
“ข้า.. ข้าเปล่า”ฮาลเฉไฉหลบสายตาแบร์รี่ที่หรี่มองเขาอยู่
“ฮาล.. ข้าเป็นเพื่อนเจ้านะ มีอะไรก็เล่าให้ข้าฟังได้”แบร์รี่หันกลับไปลากเอาเก้าอี้เดี่ยวในชุดรับแขกมาไว้ตรงหน้าฮาลแล้วกระแทกนั่งลงอย่างแรง
“ข้า.. ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ว่าจะเล่าอะไร”
“อะไร อะไรก็ได้ เจ้าอยากพูดอะไรเจ้าก็พูด อย่างน้อยก็ดีกว่ายิงหัวตัวเองไปคนเดียวเงียบๆรู้มั้ย”แบร์รี่ขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
“นาง นางรู้ว่าข้ารู้สึกอะไรกับนาง แต่นางตอบรับข้าไม่ได้”
“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก..”แบร์รี่พูดยังไม่จบก็ต้องหุบปากลง ดูเหมือนฮาลจะต้องการคนที่จะรับฟังเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“ข้ายังไม่เคยเอ่ยปากว่ารักนางเลย ข้าช่างเป็นชายที่น่าสมเพช ต้องให้นางเป็นคนบอกข้า ข้า.. ข้านี่มัน..”ฮาลยังคงทึ้งหัวและฟูมฟาย
“เจ้าก็ลองบอกนางสิ เผื่อความรู้สึกผิดในใจจะหายไป”แบร์รี่ยังไม่ยอมแพ้กับการแนะนำ
“ข้าไร้ความกล้า..”ฮาลกล่างด้วยอารามสลด
เมื่อได้ฟังดังนั้นแบร์รี่ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และใช้ฝ่ามือตบแรงๆเข้าที่ไหล่ของฮาล ก่อนฮาลจะได้พูดอะไรก็ถูกเพื่อนชายชิงพูดไปก่อน
“ฮาลที่ข้ารู้จักไม่เคยไร้ความกล้า เจ้าเป็นชายที่กล้าหาญที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา ฮาล.. อย่ายอมแพ้สิ บอกนางไป ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วจะเป็นยังไงก็ช่าง เจ้าต้องบอกความรู้สึกของเจ้าด้วยตัวเองให้ได้”
ประโยคของแบร์รี่ทำให้ฮาลได้สติ คืนนั้นเขานอนหลับเต็มอิ่มและสามารถตื่นขึ้นมาเลือกชุดที่จะใส่ไปในงานแต่งงานที่โบสถ์ของพระราชวังได้
เจ้าบ่าวของบรูซเป็นชายร่างสูง เป็นเหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย ผมสีดำหยักศกของเค้าถูกจัดทรงด้วยน้ำมันแต่งผมช่างดูเข้ากันกับบรูซที่มีผมดำขลับทิ้งตัวสลวยที่ตอนนี้ถูกเกล้าขึ้นอย่างหรูหรา
เมื่อมาถึงช่วงเวลาที่ฮาลรอคอย
“มีใครจะคัดค้านการแต่งงานนี้มั้ย”

บาทหลวงหันมาถามผู้ร่วมงามเป็นพิธีโดยไม่ได้ต้องการคำตอบ
แต่ว่า..
“ข้า!!”ฮาลยกมือและยืนขึ้นแสดงตัวทำเอาผู้ร่วมงานอื่นตกตะลึงและเริ่มซุบซิบนินทา
แม้แต่บรูซเองยังนิ่งอึ้งจนตาค้าง เธอจ้องมองฮาลสลับกับ’คาเอล’ เจ้าบ่าวของเธออย่างวิตกกังวล ตั้งแต่เกิดมาบรูซไม่เคยตกใจอะไรเท่านี้มาก่อนเพราะเธอมักคาดการณ์อะไรได้ตามแต่ที่หญิงฉลาดๆคนหนึ่งจะทำ
“ท่านจะคัดค้านการแต่งงานนี้ด้วยสาเหตุอะไร”

บาทหลวงถามอีกครั้งโดยเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิธี
“ข้ารักเจ้า บรูซ..”ฮาลพูดขึ้นด้วยสายตาที่มั่นคง เขาจ้องมองกับบรูซ สบตาเธอ
“ขอบคุณสำหรับความรู้สึก ข้า..”บรูซตอบปฏิเสธอย่างประหม่า เธออดเห็นใจฮาลไม่ได้ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรจึงทำได้เพียงยืนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม
“เจ้าไม่ต้องตอบอะไรหรอก ข้ารู้”
ฮาลเปลี่ยนเป้าหมายจากบรูซเป็นเจ้าชาย
“ส่วนท่าน เจ้าชายคาเอล!!!”
คาเอลได้แต่ยืนนิ่งเพื่อตั้งรับรอการโจมตีทางอารมณ์ของฮาล
“ท่านต้องทำให้นางมีความสุขนะ..”
“…”
“นี่เป็นความปราถนาหนึ่งเดียวของข้า”
ฮาลส่งต่อประกายความแน่วแน่ในน้ำเสียงลงสู่จิตใจของคาเอล คาเอลที่รับรู้ถึงความจริงจังและมั่นคงนั่นก็ตอบกลับไปด้วยความแน่วแน่เช่นกัน
“แน่นอน.. ข้าสัญญา”
“ขอบคุณ”
และฮาลก็นั่งลงดังเดิม ทิ้งให้แบร์รี่ที่นั่งข้างๆแอบคิดว่าเขาคงไปเผลอปลุกไฟในใจของเพื่อนชายให้ลุกโชนแน่ จึงเลือกที่จะนั่งนิ่งๆให้พิธีที่กลับมาสงบอีกครั้งดำเนินต่อไป
ฮาลจ้องมองรถม้าสีขาวที่เคลื่อนผ่านไป เขาและบรูซได้ร่ำลากันพอสมควร บรูซกล่าวขอบคุณเขาไม่รู้กี่รอบ ฮาลเองก็รู้สึกขอบคุณในความไม่ถือสาของคนทั้งคู่เช่นกัน ตอนนี้เขาได้แต่โบกมือลาทั้งคู่ที่ค่อยๆเคลื่อนผ่านไปไกลมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลัก
ฮาลที่กลับมาจากโบสถ์ก็ได้แต่โดดออกจากห้องทำงานไปหาร่มไม้นั่งเล่น แบร์รี่ก็เห็นดีเห็นงามด้วยเลยแวะออกมานั่งเป็นเพื่อน
“เป็นยังไงล่ะ ชีวิตรักพวกเค้า”แบร์รี่หยีตาขึ้นมองแสงแดดที่แยงแมกไม้ผ่านเข้ามา
“นางเป็นคนฉลาด ข้าเชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไรที่นางผ่านไปไม่ได้”ฮาลเป่าใบไม้ที่หล่นลงมาแตะจมูกของเขาออก
“แล้วเจ้าล่ะ ชีวิตรักเจ้าเป็นยังไงบ้าง”
ฮาลนิ่งคิด
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ..”
“ให้ข้าพาไปหามั้ยล่ะ”แบร์รี่เสนอตัวเอง
“สเป็คข้ามันคนละแบบกับเจ้านะ”ฮาลบอกปัด
“ฮืม… แล้วเจ้าจะใช้ชีวิตเหี่ยวแห้งแบบนี้เหรอ”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก อีกอย่างที่มหาวิทยาลัยเองก็เริ่มเปิดรับผู้หญิงแล้ว อีกเดี๋ยวคนแบบนางก็คงมีทั่วไปนั่นแหละน่า”ฮาลพูดอย่างรำคาญ
“อย่ายึดติดแล้วกันนะฮาล”
“ก็คงต้องรอเวลาอย่างเดียวนั่นแหละ”
ฮาลเองก็ยังคงใช้ชีวิตไปวันๆเหมือนเช่นที่ผ่านมา เขามีแผนอีกเยอะในชีวิตที่ต้องจัดการ ฮาลคิดจะมีเรือขนส่งสินค้าเพิ่มอีกซักลำทำให้เขาเองก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น
จดหมายของบรูซยังนอนนิ่งอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของฮาล มีบ้างที่จะเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ได้บ่อยมากเพราะนางเองก็เพิ่งเริ่มตั้งครรภ์
ฮาลยังเป็นเพื่อนที่รู้ใจและรับปรึกษาเวลาที่เธอต้องการคำตอบ พวกเขาเลือกที่จะไม่พูดถึงความรู้สึกที่ฮาลมีให้ ฮาลก็คิดเช่นกันว่านั่นเป็นเรื่องดี
เรื่องของเขา ให้มันเป็นแค่ความรู้สึกก็พอแล้ว

ใส่ความเห็น