![wp-image--1888536880](https://firstkaiju.wordpress.com/wp-content/uploads/2017/09/wp-image-1888536880.jpg)
ณ วิหารแห่งเทพของเทพทั้งปวง พ่อของเขา เธเซอุสมองที่รูปแกะหินอ่อนงานประณีตที่ตั้งตระง่านกลางวิหาร หลังจากเหตุการณ์กระหายเลือดของไฮเพอร์เรียน ความศรัทธาของผู้คนเริ่มหวนกลับคืนมา ถึงแม้วิหารจะยังทรุดโทรมแต่ก็ยังมีร่องรอยของการปัดกวาด เพียงแต่ก็ยังอันตราย หลายคนที่ได้รับผลกระทบ เสียบ้าน ครอบครัว บางส่วนผันตัวเป็นโจร ดังนั้นวิหารจึงไม่ใช่ที่ที่จะพักอยู่นานได้ อย่างที่เทวดาของเขาพูดไม่ผิด ที่นี่แร้นแค้น เขาคิดขณะจ่ายเงินเพื่อซื้ออาหารที่มากกว่าที่วางแผนเอาไว้ เมืองที่ซูสปกปักรักษาจะแร้นแค้นได้อย่างไร เขาเผลอคิดไปว่าที่นี่จะเป็นโอเอซิสหากโลกล่มสลาย
เธเซอุสวางคันธนูทองคำที่พาดบ่าไว้บนแท่นบูชา
เขากล่าว “ข้าไม่คิดว่าการเก็บไว้จะดีต่อตัวข้า.. ข้าไม่มีอะไรเพื่อเรียกท่าน แต่ท่านคงได้ยินเสียงข้า”
เขาจากมาอย่างง่ายๆ เพื่อเป้าหมายแห่งการกลับบ้าน
หลายครั้ง เขาเผลอหันหลังไปมอง ไม่อาจรู้ได้ว่าตนกำลังมองอะไร หลายครั้งเขาเผลอลืมไปว่ากำลังเดินทางไปไหน บ้านไม่ใช่สถานที่ที่เขาอยากเดินทางไปตอนนี้ แต่ครั้นจะมองหาเส้นทางแห่งป่าลึกลับที่ดูราวกับความฝันนั่นก็เป็นได้แค่ฝัน อย่างกับว่ามีประตูกั้นอยู่และการที่เขาเดินทางไปถึงเป็นแค่เรื่องผิดพลาด เขาไม่มีสิทธิ์ เขาไม่มีสิทธิ์ได้มองดวงตาคู่นั้น ไม่มีสิทธิ์ได้สัมผัสคนๆนั้น คนที่สมกับเป็นเทวดาเสียจริง
หลังจากทรัพย์สินสุดท้ายที่เธเซอุสหวังว่าหากส่งคืนไปจะทำให้เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ กลับทำให้เขาได้พบเจออะไรที่เกินคาดหมาย กลายเป็นสิ่งแทนที่ที่กลับมาหลอกหลอนเขาแทนเสียได้ คืนวันผ่านไปอย่างยากลำบากหนักกว่าเดิม ใบหน้ากึ่งๆอมทุกข์นั่นฝังลึกแน่นเกินไป เธเซอุสไม่เคยนอนหลับได้เต็มคืน ถูกความไม่สบายกายปลุกขึ้นทุกครั้งในยามค่ำคืน และคืนนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาต้องลุกขึ้นจากเตียง เธเซอุสวักน้ำในถังไม้ขึ้นลูบหน้าแล้วกลับมานั่งคิดว่าพรุ่งนี้เขาจะทำอะไร
ตอนนี้สำหรับเขาไม่มีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินได้ เธเซอุสเฝ้านึกถึงแต่เพียงเจ้าของปีกเนียนลื่นที่ยอมให้เขาจับ เขามักจะเผลอเหม่อเมื่อมองเห็นสายน้ำ น้ำใสๆที่ไหลคู่กับปลาตัวใหญ่ซักตัวทำให้ผ้าบางลู่น้ำผุดขึ้นจากความทรงจำ
เธเซอุสมองดูตัวเองที่เงาเหนือผิวน้ำ เขาเนี่ย..ดูไม่ได้เลยนะ
**********
“วันนี้ไม่ลงไปข้างล่างเหรอ..?”
เสียงนุ่มทุ้มกล่าวถามเรียกสติที่เตลิดไปไกลของชายหนุ่มที่ฝังตัวอยู่กับพื้นหญ้าและกองไม้ดอกที่เคยเป็นที่สังสรรค์ของเทวดานางฟ้ากลุ่มใหญ่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา บาร์เทิลบีเงยหน้าขึ้นมองไปที่เพื่อนคนเดียวของเขา โลกิ เขาเป็นชีวิตที่ไม่ได้เหมือนเกรกอรี่คนอื่น โลกิต่างออกไป และเป็นคนโปรดของคุณแม่ ทั้งที่รู้สึกอิจฉา แต่โลกิก็คล้ายกับเขา เขาก็คล้ายกับอีกฝ่าย เราจึงคล้ายว่าจะเข้าใจกันและกัน โลกิไม่เคยห้ามเรื่องการปลีกวิเวกของเขา นั่นทำให้ถึงมีโลกิอยู่ข้างๆเขาก็ไม่รู้สึกรำคาญ
“ข้า..ไม่..” บาร์เทิลบีกล่าวเบาๆ ความสับสนทำให้เขาเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ในตอนนี้เขามีเรื่องอื่นให้คิดและไม่สามารถสลัดหลุดจากหัวได้ ทำได้แค่มองท้องฟ้าและปล่อยตัวไหลไปตามความคิดของตัวเองเหมือนกลุ่มเมฆมากมายที่เคลื่อนตัวตามแรงลม
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ..?” โลกิทิ้งตัวลงใกล้ๆและยื่นหน้าเข้ามา บาร์เทิลบีมองสบตาอีกฝ่ายพักนึงก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า..
“เขาเป็นใคร.. ทำไมเจ้าไม่เล่าให้ข้าฟัง!!!”
เขาลืมไปว่าพวกเรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากรู้อะไรก็ต้องได้รู้ รู้ได้ทุกเรื่องบนโลกใบนี้ แบบที่เขาเคยทำกับเธเซอุส ล่วงรู้เรื่องของอีกฝ่ายโดยพลการ ด้วยสัมผัสแห่งเกรกอรี่
“ข้าไม่คิดว่าจะได้เจอเขาอีกหรอก.. ข้าไม่รู้จักเขา รู้จักแต่ชื่อ”
“แต่เจ้าก็รู้ว่าเขาเป็นใครนี่..” โลกิยังมีท่าทางฟึดฟัดแต่เพราะไม่บ่อยครั้งที่เกรกอรี่รักสันโดษตนนี้จะมีเรื่องอะไรหรือใครมากวนใจ เขาจึงเลือกที่จะวางตัวลงนั่ง และถามออกไปนิ่งๆ
“คิดว่าเขาอยากเจอข้าเหรอ..” มือเรียวเอื้อมออกไปเด็ดหญ้าเล่นอย่างร้อนรุ่ม ดวงตาสีน้ำตาลทอดยาวออกไปไกลลิบ เจอหน้ากันแล้วจะพูดอะไร หากอีกฝ่ายถามเขาว่าเขามีธุระอะไรเขาจะตอบยังไงล่ะ แค่อยากเจอหน้าท่าน ฟังดูตลกพิลึก อาจจะทำให้ตัวเองขายขี้หน้าไปด้วย ยิ่งคิดคำถามก็ยิ่งผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดแต่กลับไม่มีคำตอบขึ้นมาเลย บาร์เทิลบีเริ่มท้อ
“ต้องสนฝ่ายนั้นด้วยอย่างนั้นเหรอ.. ข้าแปลกใจ ปกติเจ้าทำอะไรไม่ค่อยเห็นหัวใคร”
บาร์เทิลบีมองตอบ “เจ้าพูดถูก..” เขาฟุบลงกับผืนหญ้าอีกครั้ง “ขอข้าอยู่คนเดียวซักพัก..”
เฮ้อ.. โลกิลอบถอนเสียงในใจ บาร์เทิลบีชอบที่จะปล่อยตัวเองไหลไปกับเวลาและชินชาไปกับมัน แต่บางครั้งก็ปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟ เป็นคนแปลกที่รับมือยาก เรื่องเกี่ยวกับความรักก็เป็นครั้งแรก แต่อีกฝ่ายเป็นถึงลูกครึ่งมนุษย์กับเทพเชียว คงรู้สึกแปลกแยกไม่เบา แล้วก็ดันไม่ใช่เทพต๊อยต๋อยกลับเป็นถึงเทพสายฟ้าที่เป็นราชาแห่งเทพทั้งปวงนั่นอีก คนไม่ชอบเรื่องยุ่งยากอย่างบาร์เทิลบีคงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจึงไม่กล้าตัดสินใจลงมือทำอะไร
โลกิเดินจากพ่อหนุ่มเข้าใจยากของเขากลับมาที่วิหาร เดินไปเดินมาซักพักก่อนจะรู้สึกว่าเขาควรลงมือทำอะไรซักอย่าง
**********
เสียงก๊อกแก๊กจากค้อนและสิ่วทำให้เธเซอุสรู้สึกหูอื้อ เขานอนไม่หลับติดกันหลายคืนจนต้องลุกมาหาอะไรทำ และของในมือของเขาก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เขาลุกขึ้นมาจุดเทียนไขกลางดึก หินขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวเขาถูกยกเข้ามาในวันหนึ่ง เธเซอุสลงมือขุดใบหน้าในความทรงจำขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ลืมไม่ได้ราวกับโดนยาเสน่ห์ แค่นึกถึงก็ราวกับได้กลิ่นหอมลอยมาตามลม
“สวัสดี..มีใครตื่นอยู่มั้ย? ข้าเห็นแสงไฟ” เสียงทุบประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกน เธเซอุสหลังไปมองพร้อมกับคิดในใจว่าจะแกล้งทำหูทวนลม แต่เสียงทุบก็ดังขึ้นเรื่อยๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าได้ยินข้า เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!!”
ทำให้เธเซอุสจำยอมต้องวางอุปกรณ์ในมือ คลุมผลงานแกะสลักขนาดใหญ่ของเขาและลุกขึ้นไปเปิดประตู ตรงหน้าคือชายหนุ่มผมทองตัวเล็กที่คลุมผ้าจนมิดชิดโผล่มาแต่ใบหน้า
“ข้าไม่มีอะไรให้ท่านหรอกนะ..” เธเซอุสกล่าวราวกับอีกฝ่ายเป็นคนจรจัดหรือขอทานทำให้ผู้มาเยือนนึกฉุน
“ข้าคือโลกิ.. และมีเรื่องอยากจะถามเจ้า ขอเข้าไปข้างในได้มั้ย” น้ำเสียงโวยวายดังลั่นทำให้เธเซอุสต้องยอมเปิดประตูรับแขกยามวิกาลก่อนจะมีใครถูกปลุกและโทษเขา
เธเซอุสไม่เคยมีแขกมีเยี่ยม เขาไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่มีญาติ ตัวคนเดียวหลังจากแม่ตาย คนรู้จักเกือบทั้งหมดของเขาตายไปแล้วในเหตุการณ์ของไฮเพอร์เรียนศัตรูตัวฉกาจ และเรื่องพวกนั้นก็ผ่านไปได้ซักพักแล้ว
“เจ้าเป็นบุตรแห่งซูสสินะ.. น่าประหลาดใจที่ลูกเทพแต่ละคนที่ข้าเจอมักต้องนอนคู้ในรูหนู เจ้าเองก็ดูไม่ต่างกัน”
“ท่านต้องการอะไร..” เธเซอุสถามด้วยน้ำเสียงรำคาญ การเกริ่นนำว่าเขาเป็นลูกใครมักตามมาด้วยเรื่องวุ่นวาย และการที่เขาหรือใครหลายๆคนต้องคุดคู้ในรูหนูก็เพื่อหนีเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นนั่นล่ะ
“ข้ามาหาท่านเรื่องของบาร์เทิลบี เจ้าจำเขาได้มั้ย..?”
เธเซอุสนิ่งงัน ชื่อนั้นไม่ได้ถูกเอ่ยมานาน ไม่เคยถูกเอ่ยออกมาจากปากคนอื่น เป็นเรื่องน่าประหลาดใจกับการที่มีเหตุการณ์อะไรซักเหตุการณ์เกิดขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าการพบเจอของพวกเขาทั้งสองไม่ใช่แค่ความฝัน
“แน่นอน.. ข้าไม่ลืมเขาหรอก ข้าบังคับให้ตัวเองลืมเขาไม่ได้” เธเซอุสค่อยๆนั่งลง กำมือทั้งสองของตัวเอง เขาอยากพูดอะไรมากกว่านี้เกี่ยวกับเรื่องของเทวดาหนุ่มในความทรงจำ แต่สิ่งเดียวที่เขาบอกคนตรงหน้าได้ก็มีเพียงแค่ เขาไม่ลืมเรื่องนั้นอย่างแน่นอน
“ดีแล้วล่ะ เพราะเขาเองก็ลืมเจ้าไม่ได้เหมือนกัน” โลกิถือวิสาสะมือซนเดินเปิดนั่นนี่จนเจอเข้ากับหินสลักที่ถูกคลุมปิดไว้ โลกินิ่งไปพักนึงก่อนจะปิดมันกลับไปคืน “อยากเขียนจดหมายหาเขาหน่อยมั้ย.. ถ้าข้ากลับไปบอกว่าเจ้าก็อยากเจอเขาปากเปล่า เขาจะหาว่าข้าโกหกเสียดื้อๆ”
เธเซอุสคว้าผ้าใบที่ใช้วาดภาพก่อนหน้านี้และจรดแท่งถ่านลงไป แค่ประโยคสั้นๆและส่งให้โลกิ
“ขอร้อง.. ส่งให้ถึงมือเขา และข้าจะไม่ลืมบุญคุณท่าน”
และโลกิก็จากบ้านเล็กเท่ารูหนูนั่นออกมา
**********
“เขาแกะสลักรูปของเจ้าด้วยหิน..” โลกิทิ้งตัวลงนั่งข้างๆบาร์เทิลบีที่กำลังซบกับกองหมอนใบใหญ่ที่กลุ่มนางไม้จัดเพื่อปิกนิก เจ้าของชื่อผุดลุกขึ้นนั่งแทบจะทันที
“เจ้า.. เจ้าไปหาเขามาเหรอ” ดวงตาสีน้ำตาลนั่นแทบถลนออกมาอย่างไร้ความหมาย ไม่รู้จะโกรธ ตกใจหรือดีใจกันแน่ ทำให้ตอนนี้เขาเพียงแค่เลิกคิ้วสูงเท่านั้น
“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าทิ้งเวลาไปเสียเปล่าหรอก..” โลกิพูดพร้อมส่งผ้าผืนนั้นให้ผู้รับ “เขาเองก็คงอยากเจอเจ้า..”
ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองตัวอักษรเลอะเลือน นิ้วหัวแม่มือกดย้ำปลายของผืนผ้าใบจนเปรอะเศษถ่าน บางเศษก็ใหญ่เสียจนมันตกสะเก็ดปลิวออกมาตามแรงลม ประทับบนชายผ้าลินินดูสกปรกจนน่าขุ่นเคือง แต่บาร์เทิลบีไม่ได้ใส่ใจสิ่งนั้น เขาไม่ใส่ใจอะไรแวดล้อมรอบๆเลย เพียงแค่มองตัวหนังสือซึ่งประกอบเป็นประโยคอันแสนสั้นพวกนั้นนิ่งๆ คล้ายกับเขาปลิวตามลมเฉกเช่นเศษถ่านพวกนี้ ตกสะเก็ดไปประทับอยู่ ณ ที่แห่งอื่น อาจเป็นในใจใครสักคน ก็หวังว่า…
ข้าฝันร้าย…
ความสั้นๆที่ดูไม่มีความหมาย จะกล่าวว่าตนฝันร้ายเมื่อไม่มีเขา แต่บาร์เทิลบีก็รู้ว่าชายหนุ่มไม่ได้ฝันร้ายเป็นครั้งแรก เขาดูราวกับถูกสาป ด้วยฝันร้าย.. อาจเป็นเทพสักองค์ที่ไม่ยอมปล่อยเขาไป หรือ เขาคงไม่อาจฝันดีได้อีกแล้วเมื่อผ่านเรื่องราวมากมาย บาร์เทิลบีนึกถึงคืนนั้น ที่เขาปลุกชายหนุ่มขึ้นจากห้วงฝัน ทั้งที่เส้นทางยังอีกไกล ชายหนุ่มควรได้พักเพื่อเตรียมตัวเดินทางโดยมีเขาเฝ้ายามให้ถึงแม้สถานที่นั้นแทบจะปลอดจากภัยร้ายทั้งปวงเลยก็ตาม ขณะอยู่ห้วงฝัน บาร์เทิลบีกลับสังเกตเห็นรอยร้าวอันทุกข์เข็ญของชายหนุ่มนั้นปริออก แหวกแยกออกมาเรื่อยๆ คล้ายจะฉีกกระชากดวงวิญญาณลูกครึ่งเทพนี้ให้ไม่สมประดี เขาอดรนทนไม่ได้ จำเป็นจะต้องปกป้อง ลูกครึ่งมนุษย์ที่ท่านแม่ผู้สรรค์สร้างโลกใบนี้รักและหวงแหนประดุจดวงใจเอาไว้
กระนั้น เมื่อชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้น มองสบกับเขา บาร์เทิลบีก็รู้สึกได้ทันทีว่า อา… สงสัยเขาคงดึงทึ้งบางส่วนของตนเองไปห่อหุ้มเจ้าหนุ่มนี่ไว้กระมัง เขารู้สึกโล่งโหวง คล้ายกับสีฟ้าใสนั้นลักเอาบางส่วนของเขาไป พร้อมกันก็เห็นได้ชัดถึงแววตาโล่งอกของเธเซอุส สัมผัสของเกรกอรี่ทำให้รู้ว่า ชายหนุ่มโล่งอกที่ตื่นมาเจอเขา… ความเจ็บปวดทั้งหมด ทั้งกลัว ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด เคียดแค้น เศร้าเสียใจ ทั้งหมดนั้นเลือนหายไปเหมือนหนึ่งหยดหมึกลงไปในมหาสมุทร ราวกับมันไม่มีอยู่…
คราวที่ต้องมองส่งชายหนุ่มไปเผชิญกับชะตาที่ไม่อาจเลี่ยงได้ บาร์เทิลบีก็ได้แต่ยืนมองส่ง จะว่าอย่างไรดีล่ะ เขายอมรับว่าพวกเทพน่ากลัวจริงๆ เขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร พูดอะไรจึงจะไม่สะเทือนต่อบัญญัติของโลกนั้น การเป็นเกรกอรี่ที่เคียงข้างปกป้องมารดาแห่งสรรพสิ่งทำให้บาร์เทิลบีไม่เคยต้องคิดอะไร แต่ไหนแต่ไรเขาก็ถูกสร้างมาเพื่อเป็นของเล่น สิ่งบันเทิง ของประดับของท่านผู้มิมีใครเทียบได้ นั่นทำให้เขาหวาดกลัวอะไรหลายสิ่งที่อธิบายไม่ได้ แต่บางครั้งเขาก็นึกฝัน อยากจะทำลายล้างทุกสิ่ง อยากตัดเส้นเขตแดนของความเป็นจริงที่คอยคานสมดุลของธรรมชาติ หากทำได้ เขาจะหลุดพ้นจากจุดที่เป็นอยู่มั้ยนะ
บนบ่าของยักษ์ใหญ่นี้ ไม่ได้ทำให้เขามองเห็นอะไรมากกว่าใครเลย…
สิ่งสุดท้ายที่จิตของเกรกอรี่สัมผัสได้จากชายหนุ่มคือ เขาคนนั้นก็อยากวางสิ่งที่ถือเอาไว้แล้วหันกลับมาหาบาร์เทิลบีเช่นกัน
และนั่นคือสาเหตุของความใจลอยนานนับปีของเกรกอรี่หนุ่มหลังจากแยกจากลูกครึ่งเทพ
บาร์เทิลบี แม้ได้ชื่อว่าชอบทำอะไรตามใจตนเอง แต่เขาก็ขึ้นชื่อเรื่องความโลเล ครั้งหนึ่งเขาเคยนอนคลุกตะไคร่น้ำร่วมพันปีเพื่อคิดว่าความจริงแล้วเขาเกลียดโลกิหรือไม่ ก่อนจะลุกขึ้นหลังจากได้ข้อสรุปที่ไม่ขาดว่า สงสัยเขาจะแค่อิจฉาอีกฝ่ายเท่านั้น เช่นกันกับเรื่องของครึ่งเทพที่ฝังอยู่ในใจ บาร์เทิลบีคิดไม่ตกเกี่ยวกับความวูบโหวงนี้ บางส่วนของเขาหายไปจริงๆ แต่เธเซอุสก็ไม่ได้รับสิ่งใดจากเขาเลยนี่ แล้วของที่หายไปจะถูกเอาไปซ่อนที่ไหนกัน แม้จะคลำตามตัวแล้วบาร์เทิลบีก็คิดไม่ตกจริงๆว่าอะไรกันแน่ที่หายไปจากร่างกายของเขา
เขาเฝ้ามองคืนวันผันผ่านไปพร้อมกับใช้ความคิด กลุ่มดาวมายมากเมื่อเรียงร้อยเป็นเส้นแล้วดูคล้ายธนูวิเศษนั่นจริง เมื่อดาวหางวิ่งผ่านก็ดูคล้ายกับชายหนุ่มเหนี่ยวคันธนูพุ่งออกไป ดาวน้อยใหญ่เดินขบวนจัดเรียงให้เกรกอรี่หนุ่มลากเส้นประกอบกันพลางนึกถึงผู้ที่ได้บางสิ่งจากเขาไป บาร์เทิลบีไม่ชอบเล่าเรื่องของตนให้ใครฟังนัก ยิ่งปรึกษายิ่งไปกันใหญ่ แต่ครั้งหนึ่งเขาเผลอหลุดพูดออกมาว่า
“พวกครึ่งเทพนี่หากตายจะเกิดไปเป็นดาวกันใช่มั้ยนะ หากข้าอยากไปเกิดเป็นดาวบ้างจะต้องทำยังไง”
มารดาผู้สูงส่งถึงกับอุทาน โอ๊ะ.. ออกมา เทวดานางฟ้าต่างหยุดกิจกรรมที่พันมืออยู่หันขวับมาทางเขา
“ผู้อื่นเกิดเป็นดาว จำเป็นอะไรเจ้าจึงจะอยากเกิดเป็นดาวด้วยล่ะ” เว้นช่วงไปเล็กน้อยก่อนมารดาจะเอ่ยถาม
“…” นั่นสิ… หากเธเซอุสเกิดเป็นดาว มีเหตุจำเป็นอะไรที่เขาจะอยากไปเกิดเป็นดาวด้วยกันกับคนๆนั้นกันนะ
บาร์เทิลบีไม่ค่อยแน่ใจในความรู้สึกนึกคิดของตนเองเท่าไหร่ การจะกลั่นเป็นคำพูดนั้นยากยิ่งกว่าอะไร เมื่อเห็นว่ามารดาหรี่ตามองพร้อมกับขบคิดนั่นทำให้บาร์เทิลบีโล่งใจตามประสาคนขี้คร้านจะอธิบาย เห็นได้ชัดว่าเธอคงจะมองลึกเข้ามาภายในตัวเขาจะทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
“เอาเถิด แค่เกิดเป็นดาวจะยากอะไร แต่ด้วยกายของเจ้าก็ยากหน่อย” มารดาหมายถึงกายของเกรกอรี่ กายที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของมนุษย์ เธอหมายความว่าคงยากหน่อยกว่าเกรกอรี่อย่างเขาจะตาย
“อีกอย่าง เจ้าทราบมั้ยว่าดาวไม่คุยกัน… ไม่สิ พวกดาวก็คุยกันบ้าง ด้วยคลื่นที่ปล่อยออกจากแก่นข้างใน แต่ภาษาของดาวไม่ซับซ้อนมากนัก ฮาร์โมนีของจักรวาลจะเหวี่ยงพวกเจ้าให้ไกลห่างกันเป็นช่วง ใกล้กันเป็นช่วง ฉะนั้น พวกดาวจำเป็นจะต้องสื่อสารกันด้วยถ้อยคำที่ประหยัดที่สุด เข้าใจง่ายที่สุด และรวดเร็วที่สุด บางครั้งคลื่นที่ปล่อยออกมาก็ขาดช่วง หากคลื่นของดาวอื่นเกิดสั่นพ้องมาปน ความก็เสียไปหมด” มารดาคลำคางของเธออย่างครุ่นคิด ก่อนจะร้อง อ้อ… เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีกอย่าง
“เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าดาวไม่สัมผัสกัน หากพวกดาวสัมผัสกัน พวกมันจะตาย” คล้ายกับถึงบางอ้อ
บาร์เทิลบีจึงนึกตามพลางคิดถึงสัมผัสที่ปลายขนปีกของตน ว่า
ท่าทางการเกิดเป็นดาวจะไม่ได้น่าสนใจมากเท่าไหร่…
**********
หลังจากสงครามจบลง เธเซอุสก็แทบจะเก็บตัว คนในหมู่บ้านรู้ว่าถ้ำบนผาสูงชันนั้นมีคนอาศัยอยู่ ทุกคนจะเห็นชายหนุ่มคนนั้นบ้างเป็นบางครั้งที่ล่าสัตว์ นานนับปีที่ทุกคนสังเกตเห็นชายหนุ่มลึกลับจนเกิดเป็นความชินชา ครั้งล่าสุดที่เห็นคือครั้งที่ได้ยินเสียงคล้ายกับภูเขาไฟปะทุ พื้นดินสั่นไหว พร้อมกับชายหนุ่มที่แบกหินก้อนใหญ่ยักษ์เกินกว่าจะจินตนาการได้เดินขึ้นยอดผา ทุกคนไม่กล้าเอ่ยถามอะไรเมื่อดวงตาที่ดูไม่ยี่หร่าอะไรเลยนั้นกวาดผ่าน ชายหนุ่มกล่าวสั้นๆแทนคำทักทาย
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ทุกอย่างปกติดี…”
แล้วหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็แบกหินก้อนใหญ่ไปเก็บตัวเงียบๆจนทุกคนแทบจะลืมหน้าเขาไป
จากครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นเทวดาแปลกหน้าผมทองก็ผ่านมานาน นานเสียจนหินขรุขระก้อนใหญ่ที่เหลี่ยมบาดผิว เปลี่ยนเป็นหินที่ถูกขัดเงาวับเป็นทรวดทรงงดงาม นึกย้อนไปถึงอดีตเมื่อแม่ยังอยู่ เขาเป็นช่างหินมีฝีมือ แม้จะยากจน การเป็นช่างหินก็ดูเลี้ยงชีพอะไรไม่ได้เท่าที่ควร แต่เขาก็ยังรักในงานฝีมือ จนถึงตอนนี้ก็นึกขอบคุณทักษะที่มีจึงสามารถแกะเทวดาหนุ่มในความทรงจำออกมาได้ แต่ก็มีเพียงแก้วดวงตานั้นที่เขาไม่อาจแปรเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นสิ่งอื่น เขาไม่อาจขัดหินทึบแสงนี้ให้โปร่งใสเหมือนดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองมา
ด้วยการจัดวางท่าทางของรูปแกะสลัก เทวดาหนุ่มดูสูงส่ง คล้ายกับมีแสงเรืองรองสะท้อนออกมาจากผิวของหินที่ถูกขัดจนมันวาว บาร์เทิลบีนั้นเหมือนก้มลงมองเขา ดวงตาที่ไม่อาจทำให้เหมือนจริงได้นั้นจ้องมองมาด้วยความนัยมากมาย คล้ายกับค่ำคืนนั้นที่เธเซอุสไม่อาจทราบได้ว่า เทวดาหนุ่มคิดเช่นไรอยู่ จะสงสาร สังเวชหรือสมเพชในชะตากรรมของเขา
กลีบขนปีกที่แผ่ออกจากรูปสลักนั้น เขาก็ไม่อาจแกะหินหนาแข็งนี้ให้อ่อนนุ่มได้เหมือนสัมผัสจริงของมัน แม้สัมผัสมันยังค้างคาอ้อยอิ่งอยู่ในความทรงจำแน่นเหลือจะทนเขาก็ไม่อาจสรรค์สร้างมันออกมาได้เหมือนฮีฟิสตัสแม้เราจะเป็นลูกพ่อเดียวกัน
เธเซอุสค่อยๆชโลมมันด้วยยางไม้เหลว เป็นการจบปิดชิ้นงานที่กักเก็บความรู้สึกอันทะลักทลายของเขา เขานั่งเหม่อพลางคิดว่าเทวดานั่นอ่านจดหมายของเขาแล้วจะคิดอย่างไร ความเป็นจริงมันไม่ควรถูกเรียกว่าจดหมายด้วยซ้ำ มันคือความรำพึงที่เขามีต่ออีกฝ่ายมากกว่า อีกทั้งความกะทันหันที่เพื่อนชายคนนั้นโผล่มา ทำให้การค่อยๆนั่งร้อยเรียงความรู้สึกที่มีต่อเทวดาหนุ่มให้ออกมาเป็นประโยคนั้นช่างเป็นเรื่องยากเย็นเกินกว่าความร้อนรนของเขาตอนนั้นจะจัดการได้
การคิดมากเกี่ยวกับสีหน้าเทวดาหนุ่มคนนั้นยามที่อีกฝ่ายอ่านประโยคเว้าวอนในผืนผ้าใบที่ถูกฉีกทำให้ร่างกายเขาร้อนรุ่ม ความเป็นจริงเขาค่อนข้างอับอายเหลือคนาสำหรับเรื่องนี้ ราวกับตัวเขาเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งฟักออกจากเปลือกไข่ เป็นบื้อใบ้ต่อหน้าดวงตาสีน้ำตาล คิดแล้วคิดอีกเธเซอุสจึงออกจากถ้ำแล้วเดินฝ่าหมู่บ้านของกลุ่มผู้อพยพหลังสงครามการรุกรานของไฮเพอร์เรียน มองหาน้ำตกสายใหญ่ที่จะช่วยเขาจากความร้อนรุ่มและอับอาย
**********
เธเซอุสมานึกขึ้นได้ว่าความจริงแล้วแหล่งน้ำไม่ได้ช่วยเขาจากความร้อนรุ่มเท่าไหร่นัก เพราะมันทำให้เขาคิดถึงเทวดาองค์นั้นมาก คิดถึงมากกว่าแค่ใบหน้านั้นและดวงตา เขานึกถึงผืนผ้าบางชุ่มน้ำเปียกชื้นที่แนบกับท่อนขายาวๆมากกว่า ทำเอาเขารำลึกไปถึงเสียงที่ข้างหูยามอีกฝ่ายกล่าวกับเขาว่า
“เจ้าคิดอะไรที่ไม่บริสุทธิ์อยู่…”
ทำอย่างไรได้ บาร์เทิลบีนั้นราวกับถูกล้อมรอบด้วยมนต์เสน่ห์ลึกลับบางอย่าง เขาเองก็คิดว่าเทวดาอาจเป็นแบบนั้นทุกองค์ แต่ความคิดนั้นก็ถูกพิสูจน์แล้วเมื่อเขาได้พบหน้าเพื่อนหนุ่มเทวดาของบาร์เทิลบี เทวดาองค์นั้นดูแปลกตา มีรัศมีส่องประกาย แต่ไม่ได้ทำให้เขาเมามัวขนาดนั้น ไม่ได้มีแก้วตาที่น่าดึงดูดขนาดนั้นประดับใบหน้า ไม่ได้ทำให้เขาเสียอาการอะไร มองเผินๆคล้ายจะออกไปทางพวกเทพซักองค์ที่เคยบัญชาการเขาด้วยซ้ำ
เธเซอุสกระสับกระส่ายกับเรื่องที่เป็นอยู่เอามากๆ อย่างกับเขาเพิ่งแตกหนุ่มทั้งที่เป็นชายฉกรรจ์มานานโข ทำตัวไม่ถูกเมื่อจำเป็นต้องยอมรับว่าตัวเขาคิดเรื่องหยาบโลนกับเทวดาจริงๆ แต่มันช่างไม่เหมาะสม เป็นการไม่ให้เกียรติเทวดาที่ถึงกับออกปากว่าอยู่กับเขาแล้วรู้สึกสบายใจ เขาเหมือนกับกำลังทรยศความไว้ใจ เขาคิดไปพลางบิดขยี้เสื้อผ้าที่นำมาซักเพื่อระบายอารมณ์ ผ้าป่านเนื้อหยาบถูกเขาบิดขยี้ทั้งที่ไม่ได้มีคราบสกปรกอะไรเป็นพิเศษนอกไปจากเหงื่อไคลจากชีวิตประจำวัน
เขาเสยผมหยักศกที่รวบจับกันเป็นกลุ่มเส้นใหญ่จากความเปียกชื้น หลังจากตากเสื้อผ้าก็จ้ำอ้าวลงแหล่งน้ำไป ในใจกล่าวว่าการสงบสติอารมณ์ในน้ำก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่นัก หลังจากโดนเข้ากับความเย็นของผิวน้ำ เขาก็เหมือนจะสงบขึ้นมาเปลาะหนึ่ง
“นี่เจ้าน่ะ!!!”
เสียงที่คุ้นเคยจากความทรงจำทำเอาเธเซอุสที่ลงน้ำไปเกือบครึ่งตัวหันแทบไม่ทัน
ไม่เอาน่า…
ใบหน้าที่ผุดในความคิดทั้งวันทั้งคืนจนฟุ้งซ่าน คิดจะกักเก็บไว้ไหน ฝังลืมที่ไหนก็ทำไม่ได้เพราะมันไม่ใช่สิ่งของ ตามหลอกหลอนมานานนับแรมปี ได้แต่เฝ้าฝันว่าบางทีอาจจะได้พบเขาเมื่อความตายมาเยือนหา เธเซอุสนิ่งค้าง จมจ่อมสายตาของเขากับใบหน้านั้นที่คะนึงหาอยู่ทุกเมื่อชั่วยาม และไม่ต่างจากครั้งแรกที่พวกเขาได้พบหน้ากัน เธเซอุสบื้อใบ้เสียจนไม่รู้จะกล่าวตอบอะไรเทวดาหนุ่มที่ยืนเท้าเอวที่ขอบของแหล่งน้ำ ครั้นพินิจใบหน้านั้นนานๆก็จะเห็นได้ถึงรอยเลือดฝาดผ่านผิวขาวเป็นริ้ว เทวดาออกจะหอบน้อยๆคล้ายกับเร่งรีบกระทำอะไรซักอย่าง ที่เท้าและชายผ้าบางนั้นก็คล้ายกับเปื้อนเศษดินหญ้า
“เจ้า มาที่นี่ได้อย่างไร…” เธเซอุสกล่าวเบาๆ ถึงแม้น้ำตกสายใหญ่จะแผดเสียงดังลั่น แต่บาร์เทิลบีก็ได้ยินมันชัด
“แค่หาว่าเจ้าอยู่ไหนมันไม่ได้ยากนักหรอก เช่นเดียวกับเพื่อนของข้า” ตอบไปพลางผ่ามือที่เท้าเอวตัวเองอยู่ก็กระชับแน่นขึ้น
“อย่างนั้นแล้ว…” เธเซอุสดับเสียงของตนแทบไม่ทันก่อนประโยคเต็มจะหลุดออกมา ให้ตายเถอะ จะไปถามคำถามแบบนั้นได้อย่างไร เขามีสิทธิ์อะไรจะไปเง้างอนถามคำถามแปลกๆที่ไร้เหตุผลนั่น
อย่างนั้นแล้ว… ทำไมจึงไม่มาหาข้าให้เร็วกว่านี้กัน
เธเซอุสแค่ลืม ลืมไปว่าเกรกอรี่เห็นทุกสิ่ง รับรู้ได้ทุกสิ่ง แม้แต่ประโยคเต็มที่ขาดหายไปนั้นบาร์เทิลบีก็รับรู้ เจ้าตัวจึงเอ่ยตอบ
“ข้าเพียงแค่ จำเป็นต้องใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้” ตอบพร้อมกับผลุบสายตาก้มมองปลายเท้าของตน
เรื่องนี้… “เรื่องที่ว่านั้น…” เธเซอุสรำพึงตอบกลับไป
เป็นบาร์เทิลบีที่กล่าวยอมรับซึ่งหน้า “เรื่องความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้า…”
เธเซอุสกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความจริงแล้วจากการสนทนาในคืนนั้น เขาคิดว่ามีเพียงแต่เขาที่คิดไปเองฝ่ายเดียวเสียอีก
“ข้าครุ่นคิดเรื่องที่ว่า ยามต้องมองเจ้าเดินจากไป คล้ายกับบางสิ่งของข้าถูกเจ้าพรากไปกับเจ้า” บาร์เทิลบีกล่าวตรงๆ ใช่ ความคิดส่วนใหญ่ของเขาวนเวียนเกี่ยวกับบางสิ่งที่วูบโหวง สติสัมปชัญญะหลุดลอยเมื่อนึกถึงชายผู้นี้ยามที่เขาว่าง ซึ่งมันเป็นความจริงว่าเขาว่างอยู่ตลอด “ข้าไม่อาจทราบได้ว่าเจ้าเอาสิ่งใดไป ถึงจะย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเราข้าก็ไม่อาจหาสิ่งที่ข้าไม่ทราบว่าถูกพรากเอาไป คล้ายกับสิ่งนั้นยึดติดไปกับตัวเจ้า…” แล้วเกรกอรี่หนุ่มก็เว้นช่วง ต้องยอมรับว่านี่เป็นประโยคที่ยาวมากเกินกว่าเกรกอรี่จอมเกียจคร้านผู้ขึ้นชื่อจะยอมปล่อยให้มันหลุดออกมา ระหว่างทางที่มาที่นี่เขาพยายามเรียบเรียงประโยคและกลั่นกรองให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่นัก
เธเซอุสที่พอจะมองออกถึงความไม่ค่อยเข้าสังคมของคนตรงหน้าจึงตอบกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้าเองก็พรากบางอย่างจากข้าเช่นกัน!!!”
บาร์เทิลบีเงยหน้าขึ้นทันทีทันใด เขาโต้ “อะไรกัน ข้าไม่…” ก่อนจะสบพบกับสายตาร้อนแรงประดุจไฟกองใหญ่
และความในใจง่ายๆ
เจ้าเองก็พรากจิตวิญญาณข้าไป…
“เจ้ากำลังจะบอกว่าเราต่างถูกอีกฝ่ายพรากในสิ่งเดียวกันอย่างนั้นเหรอ…?” ถามออกไปแผ่วๆ
“ข้าไม่ใช่คนหลงตัวเองนัก แต่ข้าเกรงว่าอาจใช่…” เธเซอุสตอบอ้อมแอ้ม ชักเขินอายในรูปประโยค และเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาไม่ได้คิดไปเองจริงๆ เขาจึงย้ำถามอีกประโยค “หากเจ้าไม่มั่นใจ ข้าคงต้องกล่าวว่าเจ้าพรากใจของข้าไป หรืออีกนัยคือข้าตกหลุมรักเจ้า” ให้ตายเถอะ ผิวคล้ำกรำแดดของเธเซอุสเมื่อมันแดงเถือกด้วยความอับอาย ตอนนี้เขาอย่างกับหม้อทองแดงดำมะเมื่อมใบใหญ่
“…” บาร์เทิลบียังไม่กล่าวตอบอะไร เขาอึ้งนิ่งงัน และเปลี่ยนมากล่าวถึงสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรม
“ข้าคิดว่าเจ้าควรขึ้นจากน้ำมาหารือกันกับข้าเรื่องนี้”
ประโยคนั้นทำเอาเธเซอุสที่หลงลืมไปว่าตัวเองเปล่าเปลือยไปทั้งตัว ครึ่งล่างถูกปกปิดด้วยธารน้ำใส และอย่างว่า เมื่อมันใสสะอาดจะไปปิดบังอะไรๆได้กัน หลงลืมไปเสียได้ว่าเทวดาหนุ่มตนนี้ค่อนข้างอ่อนไหวกับการเปลือยเปล่าร่างกาย
**********
จากหลังเหตุการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนทั้งทางกายและใจ ทั้งคู่กำลังนั่งเคียงกันอยู่ข้างหินก้อนใหญ่ริมลำน้ำ ซึ่งในสายตาของเธเซอุสดูท่าว่าเทวดาหนุ่มจะชอบเล่นน้ำเอามากๆ แม้แต่ขณะที่ตกลงกันว่าจะหารือปรึกษาเรื่องสำคัญก็ไม่วายจะเลิกชายผ้าเครื่องคลุมกายขึ้น หย่อนเท้าลงแกว่งในน้ำ ดูเหมือนบรรยากาศอันน่าอึดอัดระหว่างพวกเขาจะจางหายไปอยู่มาก
เมื่อราวกับเหมือนเทวดาหนุ่มคล้ายจะหลงลืมประเด็นสำคัญระหว่างพวกเขาไป เธเซอุสจึงเริ่มเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูด
“เช่นนั้น เจ้าคิดเช่นไรกับคำบอกรักของข้ากัน” ภายนอกจะดูเหมือนสุขุมแต่ความจริงเขาก็ไม่ได้มีความอดทนมากนักนะ…
บาร์เทิลบีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายพร้อมกับเสมองขึ้นไปบนฟ้าโปร่งที่มีเมฆก้อนเกาะกลุ่มกันดูสะอาดตา “ไม่เคยมีใครบอกรักข้า ที่จริง.. ข้าไม่คิดว่ามีใครเคยรักข้าในแบบเดียวกับเจ้า นั่นทำให้ข้าไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเรื่องนี้อย่างไร” เมื่อพูดจบก็หันกลับไปมองหนุ่มครึ่งเทพนิ่งๆอย่างไร้ความหมาย ซึ่งนั่นทำให้เธเซอุสใจแป้วพอตัว แต่ด้วยความเป็นเขาจึงเอ่ยถามต่อด้วยความเข้าใจ
“ใช้ตัวเจ้าเป็นที่ตั้งสิ คำบอกรักของข้าทำให้เจ้ารู้สึกบางอย่างหรือไม่”
บาร์เทิลบีเท้าคางกับเข่าที่ชันขึ้นและใช้ความคิด “ข้ารู้สึกได้ถึงสิ่งที่เคยหายไปจากตัวข้าก่อนหน้านี้ คล้ายกับว่ามันกลับมาอยู่ที่เดิม” คล้ายกับว่าถูกเติมเต็ม… ประโยคข้างหลังเขาไม่เอ่ย ไม่มีเหตุผลให้ไม่อยากเอ่ย เพียงแค่ประโยคนั้นดูหนักอึ้งเกินกว่าจะคืบคลานออกจากปากของเขา แต่เพียงคำกล่าวแค่นั้นสายตาของเธเซอุสก็อ่อนลงมาก ช่างสมเป็นเทวดาเสียจริง… ทุกทวงท่าและวาจาเอื้อนเอ่ยของคนตรงหน้าขโมยสติที่ตั้งของเขาได้แทบวินาทีต่อวินาที
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด คล้ายกับเจ้าถูกข้าขโมยหัวใจไปและเจ้ากำลังได้รับหัวใจของข้าไปแทนที่ของเจ้า”
บาร์เทิลบีตะลึงงัน “จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร…” แต่คำพูดก็ขาดห้วงไปด้วยสายตาแสนคาดหวังจากครึ่งเทพ
“นั่นเป็นเพราะข้าเองก็กำลังคาดหวังว่าเจ้าจะมอบใจของเจ้ามาแทนที่ตำแหน่งว่างเปล่าตรงนี้ของข้าอย่างไรล่ะ…” ไม่พูดเปล่า เขาค่อยๆประคองฝ่ามือที่ทิ้งข้างของเทวดาหนุ่มขึ้นมา วางมันแนบไต้ไหปลาร้าตนลงมาหน่อย ทาบบนอกที่อยู่เหนือหัวใจทางกายภาพ จิตของเกรกอรี่สัมผัสได้ถึงความนัยในเนื้อหาคำพูดนั้น คำถามว่าข้าจะรักเขาตอบได้หรือไม่เช่นนั้นรึ…
“อย่างที่กล่าวไป ความรักของเจ้าค่อนข้างต่างออกไปจากที่เคยประสบมา นั่นทำให้ข้าคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องนี้นัก ข้าไม่อาจทราบได้ว่าข้าจะทำเช่นเดียวกับเจ้าได้หรือไม่” เธเซอุสนึกเอ็นดูคำพูดเหล่านั้นและปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไป
“มารดานั้นรักสรรพสิ่งที่นางสรรค์สร้างขึ้น นางกล่าวเช่นนั้น แต่เมื่อมันสิ้นไปเธอกลับมองดูมันเฉยๆ ข้ากล่าวได้ว่านั่นคงเป็นความรักในแบบมารดา เช่นเดียวกับที่เธอมองข้า แต่ในกรณีของข้า ข้ากลับไม่อาจทำแบบนางได้ หากสิ่งที่ข้ารักสิ้นไปแล้ว บางที… ข้าอาจทนมองมันจากไปไม่ได้” ดวงตาสีน้ำตาลผลุบซ้ายผลุบขวาหาจุดวางสายตาเพื่อจริงจังกับบทสนทนาก่อนจะกลอกกลิ้งกลับมาทางเธเซอุส “เจ้าคิดว่า หากข้าไม่ได้เป็นเหมือนมารดาข้า เจ้าจะรับคำรักของข้าได้หรือไม่…?”
เธเซอุสแสร้งนิ่งคิดพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างตอบกลับมา “ดังเช่นครั้งที่เราจากกัน ลึกๆแล้วข้าทนไม่ได้ที่เห็นเจ้าจากไป บางที… รักของข้าอาจจะเหมือนกับของเจ้ามากกว่าที่คิด” เขาจะถือว่าเทวดาหนุ่มเองก็ รัก เขาเหมือนกัน แม้อีกฝ่ายจะยังไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเลยก็ตาม
“เหมือนกันกับข้าเหรอ…” คล้ายกับจะเห็นประกายสว่างวาบในดวงตาของบาร์เทิลบี
“อีกอย่าง ข้าถามได้หรือไม่ เจ้ารังเกียจสิ่งนี้หรือไม่…?” เธเซอุสถามพร้อมกระชับฝ่ามือของตนเองให้แนบแน่นมากขึ้น บาร์เทิลบีเหลือบมองมือของตนที่ตกอยู่ในการครอบครองแล้วพินิจครูหนึ่ง
“ไม่ ข้าออกจะชอบสัมผัสของเจ้า” เช่นเดียวกับที่ปีกในครานั้น…
คำกล่าวนั้นทำให้ใจหนุ่มครึ่งเทพแทบหยุดเต้น ซึ่งนั่นเป็นเพียงแค่คำเปรียบเปรยเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วมันเต้นตึกตัก ดังลั่นและสั่นไหวจนแทบพุ่งพรวดออกจากปากของเจ้าของ เส้นเลือดสูบฉีดไปทั่วจนผิวสีทองแดงนั้นเข้มขึ้นจนเกินคน มือไม้เขาสั่นและกลับมาบื้อใบ้อีกครั้ง ตอนนี้ฝ่ามือของเทวดาหนุ่มคล้ายจะเป็นของร้อนลวกนิ้วของชายหนุ่มได้ ใจนึงก็อยากจะปล่อยมันคืนสู่เจ้าของเพราะความขัดเขิน อีกใจก็อยากกอบกุมเจ้าของฝ่ามือเข้ามาทั้งตัว เธเซอุสสูดลมหายใจเข้าลึกและเอ่ย
“ให้ตายเถอะ เจ้าจะทำให้ใจข้าหยุดเต้นเอานะ” เขาพูดพร้อมแส่สายตาหลบหลีกออกด้านข้าง
“ถ้าหากว่าเจ้าตาย แล้วเจ้าจะไปเกิดเป็นดวงดาวหรือไม่กัน…” เธเซอุสสะดุดเข้ากับคำถามแปลกๆ แต่ก็ตั้งใจตอบ
“ข้าก็ไม่ทราบเรื่องนั้นได้หรอกนะ… บางทีข้าก็อาจไปปรโลกอย่างคนอื่นเขา ข้าไม่คิดว่าตัวเองเป็นลูกคนโปรดมากพอ” บาร์เทิลบีพยักหน้าตอบออกไป เขานึกถึงความไม่น่าจะสำราญนักของการเกิดเป็นกลุ่มดาวที่ได้ฟังมากจากมารดาซึ่งนั่นทำให้เขาเห็นด้วยกับคำตอบของชายหนุ่ม
“หากเจ้าต้องไปเกิดเป็นดาวตามประสาของลูกเทพข้าก็จะไปด้วย แม้ความจริงมันจะไม่น่าจะสนุกเลยก็ตาม”
.
.
.
เธเซอุสนิ่งค้าง สีหน้าออกไปทางอึ้งกับคำพูดนั้นของบาร์เทิลบี
“เจ้ากำลังจะบอกว่าหากข้าไปไหนเจ้าก็จะไปด้วยกันกับข้าอย่างนั้นเหรอ…” เสียงของเขาคาดหวังไปตามเนื้อหาของประโยค พร้อมกับสายตาที่ส่งออกไป ให้ตายเถอะ… เทวดาตนนี้จะขยันรดน้ำเทปุ๋ยใส่ไม้ในหัวใจเขาไปถึงไหนกัน เจอกันเพียงครู่เดียวต้นอ่อนเล็กๆของเขาก็แทบจะเติบใหญ่เป็นแมกไม้แผ่ขยายร่มเงาภายในชั่วพริบตา เธเซอุสยังกล่าวต่ออีกว่า “แม้ว่าเจ้าจะไม่ค่อยชอบใจกับปลายทางที่ข้ามุ่งหน้าไปนัก เจ้าก็ยังยืนยันว่าจะไปด้วยกันกับข้าสินะ…”
บาร์เทิลบีผู้ขึ้นชื่อเรื่องความโลเล ครั้งนี้เหมือนตาชั่งในใจของเขาเอียงกระเทเร่จนฝั่งหนึ่งของตาชั่งลอยขึ้นสูง
“ข้าแค่คิดว่าไม่อยากมองส่งเจ้าเดินจากไป… ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะไปไหน ข้าก็จะไปกับเจ้า”
.
.
.
“ที่ปรโลกเองก็เช่นกัน” เสียงทุ้มนั้นหนักแน่นหาได้ยากจากเกรกอรี่หนุ่มในรอบพันปี
**********
“ฮึบ!!” เสียงออกแรงยกของหนักลากไปตามพื้นหินอ่อน โลกิพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดของเขาลากสิ่งที่ถูกคลุมผ้าปกปิดเอาไว้ลากผ่านลานวิหารของพระเจ้า ความจริงเขาจะเรียกหาใครมาช่วยเขาก็ได้แต่เขาก็ไม่อยากให้สิ่งที่เป็นความลับนี้ถูกรู้เห็นโดยใครที่เขาไม่ต้องการให้ยุ่มย่าม อย่างที่รู้… พวกเทวดานางฟ้าขึ้นชื่อเรื่องการชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน อีกอย่าง เขาไม่น่าสวมบทคนใจดีเท่าไหร่ น่าจะให้เจ้าหนุ่มลูกเทพนั่นขนเดินไปถึงจุดหมายตั้งแต่แรก สัมผัสของเกรกอรี่ทำให้โลกิล่วงรู้ว่าเธเซอุสไม่อยากจะพบเจอมารดานัก หรือพวกเทวดานางฟ้า ครึ่งเทพนั่นถ่อมตัวเกินไปแล้ว เมื่อเป็นแบบนั้นจะพาเดินแนะนำสถานที่ของพระเจ้าให้หนุ่มนี่ไปก็ใช่เรื่อง จึงสวมบทคนใจดีแล้วกล่าวว่า
‘ข้าจัดการได้ เจ้าไปตามทางของเจ้าเถอะ…’
ก่อนจะมานึกเสียใจที่พบว่าของขวัญชิ้นยักษ์นี่เกินมือของเขามาก ตอนนี้เลยต้องมารับบทกรรมกรลากเข็นสิ่งนี้ไปตามทางลับที่ไม่มีผู้ใดเดินผ่าน แต่เอาเถิด ใช้เวลาไม่นานมันก็จะถูกนำไปประดับในที่ที่ควรจะอยู่แน่นอน โลกิให้กำลังใจตนเองเงียบๆ
แต่เมื่อแวะหยุดพัก แสงเรืองรองของมารดาที่ผ่านมา
“มารดา… ท่าน…” โลกิเสียอาการเล็กน้อย เส้นทางด้านนี้ของวิหารไม่ควรถูกมารดาผู้สูงส่งใช้สัญจรเลยแม้แต่น้อย
มารดาผู้สร้างชี้ไปที่ของขวัญที่ถูกคลุมผ้า “สิ่งนั้น…” เธอไม่จำเป็นต้องเลิกผ้าเปิดออกดูก็รู้ว่าข้างใต้นั่นคือสิ่งใด แต่ก่อนจะได้เอ่ยอะไรต่อ โลกิก็ยิ้มแฉ่งตอบออกมาว่า
“บาร์เทิลบีกล่าวว่าเขากลัวท่านจะเหงาเมื่อเขาไม่อยู่ จึงส่งของขวัญชิ้นนี้มาแทนตัวเขา”
มารดายิ้มและหัวเราะด้วยความเอ็นดู เธอกล่าว
“เห็นอยู่ตลอดจะไปเหงาได้อย่างไรเล่า…”
ลมวูบหนึ่งผ่านใบหน้าของบุคคลทั้งสอง บาร์เทิลบีสะกิดเรียกชายหนุ่มข้างกายของตนเองและกล่าวด้วยเสียงร่าเริง
“มารดาบอกข้าว่ารูปสลักฝีมือเจ้างามมากเลยล่ะ”
เธเซอุสโอบไหล่ของเกรกอรี่หนุ่มเข้าแนบชิดกับตนเอง
“อย่างไรก็ไม่งามเท่าตัวจริงของเจ้าหรอก”
End.