FanfictionRyben [Theseus/Bartleby] Dream (Past 2) #END

wp-image--1888536880

ณ วิหารแห่งเทพของเทพทั้งปวง พ่อของเขา เธเซอุสมองที่รูปแกะหินอ่อนงานประณีตที่ตั้งตระง่านกลางวิหาร หลังจากเหตุการณ์กระหายเลือดของไฮเพอร์เรียน ความศรัทธาของผู้คนเริ่มหวนกลับคืนมา ถึงแม้วิหารจะยังทรุดโทรมแต่ก็ยังมีร่องรอยของการปัดกวาด เพียงแต่ก็ยังอันตราย หลายคนที่ได้รับผลกระทบ เสียบ้าน ครอบครัว บางส่วนผันตัวเป็นโจร ดังนั้นวิหารจึงไม่ใช่ที่ที่จะพักอยู่นานได้ อย่างที่เทวดาของเขาพูดไม่ผิด ที่นี่แร้นแค้น เขาคิดขณะจ่ายเงินเพื่อซื้ออาหารที่มากกว่าที่วางแผนเอาไว้ เมืองที่ซูสปกปักรักษาจะแร้นแค้นได้อย่างไร เขาเผลอคิดไปว่าที่นี่จะเป็นโอเอซิสหากโลกล่มสลาย

เธเซอุสวางคันธนูทองคำที่พาดบ่าไว้บนแท่นบูชา

เขากล่าว “ข้าไม่คิดว่าการเก็บไว้จะดีต่อตัวข้า.. ข้าไม่มีอะไรเพื่อเรียกท่าน แต่ท่านคงได้ยินเสียงข้า”

เขาจากมาอย่างง่ายๆ เพื่อเป้าหมายแห่งการกลับบ้าน

หลายครั้ง เขาเผลอหันหลังไปมอง ไม่อาจรู้ได้ว่าตนกำลังมองอะไร หลายครั้งเขาเผลอลืมไปว่ากำลังเดินทางไปไหน บ้านไม่ใช่สถานที่ที่เขาอยากเดินทางไปตอนนี้ แต่ครั้นจะมองหาเส้นทางแห่งป่าลึกลับที่ดูราวกับความฝันนั่นก็เป็นได้แค่ฝัน อย่างกับว่ามีประตูกั้นอยู่และการที่เขาเดินทางไปถึงเป็นแค่เรื่องผิดพลาด เขาไม่มีสิทธิ์ เขาไม่มีสิทธิ์ได้มองดวงตาคู่นั้น ไม่มีสิทธิ์ได้สัมผัสคนๆนั้น คนที่สมกับเป็นเทวดาเสียจริง

หลังจากทรัพย์สินสุดท้ายที่เธเซอุสหวังว่าหากส่งคืนไปจะทำให้เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ กลับทำให้เขาได้พบเจออะไรที่เกินคาดหมาย กลายเป็นสิ่งแทนที่ที่กลับมาหลอกหลอนเขาแทนเสียได้ คืนวันผ่านไปอย่างยากลำบากหนักกว่าเดิม ใบหน้ากึ่งๆอมทุกข์นั่นฝังลึกแน่นเกินไป เธเซอุสไม่เคยนอนหลับได้เต็มคืน ถูกความไม่สบายกายปลุกขึ้นทุกครั้งในยามค่ำคืน และคืนนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาต้องลุกขึ้นจากเตียง เธเซอุสวักน้ำในถังไม้ขึ้นลูบหน้าแล้วกลับมานั่งคิดว่าพรุ่งนี้เขาจะทำอะไร

ตอนนี้สำหรับเขาไม่มีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินได้ เธเซอุสเฝ้านึกถึงแต่เพียงเจ้าของปีกเนียนลื่นที่ยอมให้เขาจับ เขามักจะเผลอเหม่อเมื่อมองเห็นสายน้ำ น้ำใสๆที่ไหลคู่กับปลาตัวใหญ่ซักตัวทำให้ผ้าบางลู่น้ำผุดขึ้นจากความทรงจำ

เธเซอุสมองดูตัวเองที่เงาเหนือผิวน้ำ เขาเนี่ย..ดูไม่ได้เลยนะ

**********

“วันนี้ไม่ลงไปข้างล่างเหรอ..?”

เสียงนุ่มทุ้มกล่าวถามเรียกสติที่เตลิดไปไกลของชายหนุ่มที่ฝังตัวอยู่กับพื้นหญ้าและกองไม้ดอกที่เคยเป็นที่สังสรรค์ของเทวดานางฟ้ากลุ่มใหญ่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา บาร์เทิลบีเงยหน้าขึ้นมองไปที่เพื่อนคนเดียวของเขา โลกิ เขาเป็นชีวิตที่ไม่ได้เหมือนเกรกอรี่คนอื่น โลกิต่างออกไป และเป็นคนโปรดของคุณแม่ ทั้งที่รู้สึกอิจฉา แต่โลกิก็คล้ายกับเขา เขาก็คล้ายกับอีกฝ่าย เราจึงคล้ายว่าจะเข้าใจกันและกัน โลกิไม่เคยห้ามเรื่องการปลีกวิเวกของเขา นั่นทำให้ถึงมีโลกิอยู่ข้างๆเขาก็ไม่รู้สึกรำคาญ

“ข้า..ไม่..” บาร์เทิลบีกล่าวเบาๆ ความสับสนทำให้เขาเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ในตอนนี้เขามีเรื่องอื่นให้คิดและไม่สามารถสลัดหลุดจากหัวได้ ทำได้แค่มองท้องฟ้าและปล่อยตัวไหลไปตามความคิดของตัวเองเหมือนกลุ่มเมฆมากมายที่เคลื่อนตัวตามแรงลม

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ..?” โลกิทิ้งตัวลงใกล้ๆและยื่นหน้าเข้ามา บาร์เทิลบีมองสบตาอีกฝ่ายพักนึงก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า..

“เขาเป็นใคร.. ทำไมเจ้าไม่เล่าให้ข้าฟัง!!!”

เขาลืมไปว่าพวกเรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากรู้อะไรก็ต้องได้รู้ รู้ได้ทุกเรื่องบนโลกใบนี้ แบบที่เขาเคยทำกับเธเซอุส ล่วงรู้เรื่องของอีกฝ่ายโดยพลการ ด้วยสัมผัสแห่งเกรกอรี่

“ข้าไม่คิดว่าจะได้เจอเขาอีกหรอก.. ข้าไม่รู้จักเขา รู้จักแต่ชื่อ”

“แต่เจ้าก็รู้ว่าเขาเป็นใครนี่..” โลกิยังมีท่าทางฟึดฟัดแต่เพราะไม่บ่อยครั้งที่เกรกอรี่รักสันโดษตนนี้จะมีเรื่องอะไรหรือใครมากวนใจ เขาจึงเลือกที่จะวางตัวลงนั่ง และถามออกไปนิ่งๆ

“คิดว่าเขาอยากเจอข้าเหรอ..” มือเรียวเอื้อมออกไปเด็ดหญ้าเล่นอย่างร้อนรุ่ม ดวงตาสีน้ำตาลทอดยาวออกไปไกลลิบ เจอหน้ากันแล้วจะพูดอะไร หากอีกฝ่ายถามเขาว่าเขามีธุระอะไรเขาจะตอบยังไงล่ะ แค่อยากเจอหน้าท่าน ฟังดูตลกพิลึก อาจจะทำให้ตัวเองขายขี้หน้าไปด้วย ยิ่งคิดคำถามก็ยิ่งผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดแต่กลับไม่มีคำตอบขึ้นมาเลย บาร์เทิลบีเริ่มท้อ

“ต้องสนฝ่ายนั้นด้วยอย่างนั้นเหรอ.. ข้าแปลกใจ ปกติเจ้าทำอะไรไม่ค่อยเห็นหัวใคร”

บาร์เทิลบีมองตอบ “เจ้าพูดถูก..” เขาฟุบลงกับผืนหญ้าอีกครั้ง “ขอข้าอยู่คนเดียวซักพัก..”

เฮ้อ.. โลกิลอบถอนเสียงในใจ บาร์เทิลบีชอบที่จะปล่อยตัวเองไหลไปกับเวลาและชินชาไปกับมัน แต่บางครั้งก็ปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟ เป็นคนแปลกที่รับมือยาก เรื่องเกี่ยวกับความรักก็เป็นครั้งแรก แต่อีกฝ่ายเป็นถึงลูกครึ่งมนุษย์กับเทพเชียว คงรู้สึกแปลกแยกไม่เบา แล้วก็ดันไม่ใช่เทพต๊อยต๋อยกลับเป็นถึงเทพสายฟ้าที่เป็นราชาแห่งเทพทั้งปวงนั่นอีก คนไม่ชอบเรื่องยุ่งยากอย่างบาร์เทิลบีคงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจึงไม่กล้าตัดสินใจลงมือทำอะไร

โลกิเดินจากพ่อหนุ่มเข้าใจยากของเขากลับมาที่วิหาร เดินไปเดินมาซักพักก่อนจะรู้สึกว่าเขาควรลงมือทำอะไรซักอย่าง

**********

เสียงก๊อกแก๊กจากค้อนและสิ่วทำให้เธเซอุสรู้สึกหูอื้อ เขานอนไม่หลับติดกันหลายคืนจนต้องลุกมาหาอะไรทำ และของในมือของเขาก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เขาลุกขึ้นมาจุดเทียนไขกลางดึก หินขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวเขาถูกยกเข้ามาในวันหนึ่ง เธเซอุสลงมือขุดใบหน้าในความทรงจำขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ลืมไม่ได้ราวกับโดนยาเสน่ห์ แค่นึกถึงก็ราวกับได้กลิ่นหอมลอยมาตามลม

“สวัสดี..มีใครตื่นอยู่มั้ย? ข้าเห็นแสงไฟ” เสียงทุบประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกน เธเซอุสหลังไปมองพร้อมกับคิดในใจว่าจะแกล้งทำหูทวนลม แต่เสียงทุบก็ดังขึ้นเรื่อยๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าได้ยินข้า เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!!”

ทำให้เธเซอุสจำยอมต้องวางอุปกรณ์ในมือ คลุมผลงานแกะสลักขนาดใหญ่ของเขาและลุกขึ้นไปเปิดประตู ตรงหน้าคือชายหนุ่มผมทองตัวเล็กที่คลุมผ้าจนมิดชิดโผล่มาแต่ใบหน้า

“ข้าไม่มีอะไรให้ท่านหรอกนะ..” เธเซอุสกล่าวราวกับอีกฝ่ายเป็นคนจรจัดหรือขอทานทำให้ผู้มาเยือนนึกฉุน

“ข้าคือโลกิ.. และมีเรื่องอยากจะถามเจ้า ขอเข้าไปข้างในได้มั้ย” น้ำเสียงโวยวายดังลั่นทำให้เธเซอุสต้องยอมเปิดประตูรับแขกยามวิกาลก่อนจะมีใครถูกปลุกและโทษเขา

เธเซอุสไม่เคยมีแขกมีเยี่ยม เขาไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่มีญาติ ตัวคนเดียวหลังจากแม่ตาย คนรู้จักเกือบทั้งหมดของเขาตายไปแล้วในเหตุการณ์ของไฮเพอร์เรียนศัตรูตัวฉกาจ และเรื่องพวกนั้นก็ผ่านไปได้ซักพักแล้ว

“เจ้าเป็นบุตรแห่งซูสสินะ.. น่าประหลาดใจที่ลูกเทพแต่ละคนที่ข้าเจอมักต้องนอนคู้ในรูหนู เจ้าเองก็ดูไม่ต่างกัน”

“ท่านต้องการอะไร..” เธเซอุสถามด้วยน้ำเสียงรำคาญ การเกริ่นนำว่าเขาเป็นลูกใครมักตามมาด้วยเรื่องวุ่นวาย และการที่เขาหรือใครหลายๆคนต้องคุดคู้ในรูหนูก็เพื่อหนีเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นนั่นล่ะ

“ข้ามาหาท่านเรื่องของบาร์เทิลบี เจ้าจำเขาได้มั้ย..?”

เธเซอุสนิ่งงัน ชื่อนั้นไม่ได้ถูกเอ่ยมานาน ไม่เคยถูกเอ่ยออกมาจากปากคนอื่น เป็นเรื่องน่าประหลาดใจกับการที่มีเหตุการณ์อะไรซักเหตุการณ์เกิดขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าการพบเจอของพวกเขาทั้งสองไม่ใช่แค่ความฝัน

“แน่นอน.. ข้าไม่ลืมเขาหรอก ข้าบังคับให้ตัวเองลืมเขาไม่ได้” เธเซอุสค่อยๆนั่งลง กำมือทั้งสองของตัวเอง เขาอยากพูดอะไรมากกว่านี้เกี่ยวกับเรื่องของเทวดาหนุ่มในความทรงจำ แต่สิ่งเดียวที่เขาบอกคนตรงหน้าได้ก็มีเพียงแค่ เขาไม่ลืมเรื่องนั้นอย่างแน่นอน

“ดีแล้วล่ะ เพราะเขาเองก็ลืมเจ้าไม่ได้เหมือนกัน” โลกิถือวิสาสะมือซนเดินเปิดนั่นนี่จนเจอเข้ากับหินสลักที่ถูกคลุมปิดไว้ โลกินิ่งไปพักนึงก่อนจะปิดมันกลับไปคืน “อยากเขียนจดหมายหาเขาหน่อยมั้ย.. ถ้าข้ากลับไปบอกว่าเจ้าก็อยากเจอเขาปากเปล่า เขาจะหาว่าข้าโกหกเสียดื้อๆ”

เธเซอุสคว้าผ้าใบที่ใช้วาดภาพก่อนหน้านี้และจรดแท่งถ่านลงไป แค่ประโยคสั้นๆและส่งให้โลกิ

“ขอร้อง.. ส่งให้ถึงมือเขา และข้าจะไม่ลืมบุญคุณท่าน”

และโลกิก็จากบ้านเล็กเท่ารูหนูนั่นออกมา

**********

“เขาแกะสลักรูปของเจ้าด้วยหิน..” โลกิทิ้งตัวลงนั่งข้างๆบาร์เทิลบีที่กำลังซบกับกองหมอนใบใหญ่ที่กลุ่มนางไม้จัดเพื่อปิกนิก เจ้าของชื่อผุดลุกขึ้นนั่งแทบจะทันที

“เจ้า.. เจ้าไปหาเขามาเหรอ” ดวงตาสีน้ำตาลนั่นแทบถลนออกมาอย่างไร้ความหมาย ไม่รู้จะโกรธ ตกใจหรือดีใจกันแน่ ทำให้ตอนนี้เขาเพียงแค่เลิกคิ้วสูงเท่านั้น

“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าทิ้งเวลาไปเสียเปล่าหรอก..” โลกิพูดพร้อมส่งผ้าผืนนั้นให้ผู้รับ “เขาเองก็คงอยากเจอเจ้า..”

ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองตัวอักษรเลอะเลือน นิ้วหัวแม่มือกดย้ำปลายของผืนผ้าใบจนเปรอะเศษถ่าน บางเศษก็ใหญ่เสียจนมันตกสะเก็ดปลิวออกมาตามแรงลม ประทับบนชายผ้าลินินดูสกปรกจนน่าขุ่นเคือง แต่บาร์เทิลบีไม่ได้ใส่ใจสิ่งนั้น เขาไม่ใส่ใจอะไรแวดล้อมรอบๆเลย เพียงแค่มองตัวหนังสือซึ่งประกอบเป็นประโยคอันแสนสั้นพวกนั้นนิ่งๆ คล้ายกับเขาปลิวตามลมเฉกเช่นเศษถ่านพวกนี้ ตกสะเก็ดไปประทับอยู่ ณ ที่แห่งอื่น อาจเป็นในใจใครสักคน ก็หวังว่า…

ข้าฝันร้าย…

ความสั้นๆที่ดูไม่มีความหมาย จะกล่าวว่าตนฝันร้ายเมื่อไม่มีเขา แต่บาร์เทิลบีก็รู้ว่าชายหนุ่มไม่ได้ฝันร้ายเป็นครั้งแรก เขาดูราวกับถูกสาป ด้วยฝันร้าย.. อาจเป็นเทพสักองค์ที่ไม่ยอมปล่อยเขาไป หรือ เขาคงไม่อาจฝันดีได้อีกแล้วเมื่อผ่านเรื่องราวมากมาย บาร์เทิลบีนึกถึงคืนนั้น ที่เขาปลุกชายหนุ่มขึ้นจากห้วงฝัน ทั้งที่เส้นทางยังอีกไกล ชายหนุ่มควรได้พักเพื่อเตรียมตัวเดินทางโดยมีเขาเฝ้ายามให้ถึงแม้สถานที่นั้นแทบจะปลอดจากภัยร้ายทั้งปวงเลยก็ตาม ขณะอยู่ห้วงฝัน บาร์เทิลบีกลับสังเกตเห็นรอยร้าวอันทุกข์เข็ญของชายหนุ่มนั้นปริออก แหวกแยกออกมาเรื่อยๆ คล้ายจะฉีกกระชากดวงวิญญาณลูกครึ่งเทพนี้ให้ไม่สมประดี เขาอดรนทนไม่ได้ จำเป็นจะต้องปกป้อง ลูกครึ่งมนุษย์ที่ท่านแม่ผู้สรรค์สร้างโลกใบนี้รักและหวงแหนประดุจดวงใจเอาไว้

กระนั้น เมื่อชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้น มองสบกับเขา บาร์เทิลบีก็รู้สึกได้ทันทีว่า อา… สงสัยเขาคงดึงทึ้งบางส่วนของตนเองไปห่อหุ้มเจ้าหนุ่มนี่ไว้กระมัง เขารู้สึกโล่งโหวง คล้ายกับสีฟ้าใสนั้นลักเอาบางส่วนของเขาไป พร้อมกันก็เห็นได้ชัดถึงแววตาโล่งอกของเธเซอุส สัมผัสของเกรกอรี่ทำให้รู้ว่า ชายหนุ่มโล่งอกที่ตื่นมาเจอเขา… ความเจ็บปวดทั้งหมด ทั้งกลัว ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด เคียดแค้น เศร้าเสียใจ ทั้งหมดนั้นเลือนหายไปเหมือนหนึ่งหยดหมึกลงไปในมหาสมุทร ราวกับมันไม่มีอยู่…

คราวที่ต้องมองส่งชายหนุ่มไปเผชิญกับชะตาที่ไม่อาจเลี่ยงได้ บาร์เทิลบีก็ได้แต่ยืนมองส่ง จะว่าอย่างไรดีล่ะ เขายอมรับว่าพวกเทพน่ากลัวจริงๆ เขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร พูดอะไรจึงจะไม่สะเทือนต่อบัญญัติของโลกนั้น การเป็นเกรกอรี่ที่เคียงข้างปกป้องมารดาแห่งสรรพสิ่งทำให้บาร์เทิลบีไม่เคยต้องคิดอะไร แต่ไหนแต่ไรเขาก็ถูกสร้างมาเพื่อเป็นของเล่น สิ่งบันเทิง ของประดับของท่านผู้มิมีใครเทียบได้ นั่นทำให้เขาหวาดกลัวอะไรหลายสิ่งที่อธิบายไม่ได้ แต่บางครั้งเขาก็นึกฝัน อยากจะทำลายล้างทุกสิ่ง อยากตัดเส้นเขตแดนของความเป็นจริงที่คอยคานสมดุลของธรรมชาติ หากทำได้ เขาจะหลุดพ้นจากจุดที่เป็นอยู่มั้ยนะ

บนบ่าของยักษ์ใหญ่นี้ ไม่ได้ทำให้เขามองเห็นอะไรมากกว่าใครเลย…

สิ่งสุดท้ายที่จิตของเกรกอรี่สัมผัสได้จากชายหนุ่มคือ เขาคนนั้นก็อยากวางสิ่งที่ถือเอาไว้แล้วหันกลับมาหาบาร์เทิลบีเช่นกัน

และนั่นคือสาเหตุของความใจลอยนานนับปีของเกรกอรี่หนุ่มหลังจากแยกจากลูกครึ่งเทพ

บาร์เทิลบี แม้ได้ชื่อว่าชอบทำอะไรตามใจตนเอง แต่เขาก็ขึ้นชื่อเรื่องความโลเล ครั้งหนึ่งเขาเคยนอนคลุกตะไคร่น้ำร่วมพันปีเพื่อคิดว่าความจริงแล้วเขาเกลียดโลกิหรือไม่ ก่อนจะลุกขึ้นหลังจากได้ข้อสรุปที่ไม่ขาดว่า สงสัยเขาจะแค่อิจฉาอีกฝ่ายเท่านั้น เช่นกันกับเรื่องของครึ่งเทพที่ฝังอยู่ในใจ บาร์เทิลบีคิดไม่ตกเกี่ยวกับความวูบโหวงนี้ บางส่วนของเขาหายไปจริงๆ แต่เธเซอุสก็ไม่ได้รับสิ่งใดจากเขาเลยนี่ แล้วของที่หายไปจะถูกเอาไปซ่อนที่ไหนกัน แม้จะคลำตามตัวแล้วบาร์เทิลบีก็คิดไม่ตกจริงๆว่าอะไรกันแน่ที่หายไปจากร่างกายของเขา

เขาเฝ้ามองคืนวันผันผ่านไปพร้อมกับใช้ความคิด กลุ่มดาวมายมากเมื่อเรียงร้อยเป็นเส้นแล้วดูคล้ายธนูวิเศษนั่นจริง เมื่อดาวหางวิ่งผ่านก็ดูคล้ายกับชายหนุ่มเหนี่ยวคันธนูพุ่งออกไป ดาวน้อยใหญ่เดินขบวนจัดเรียงให้เกรกอรี่หนุ่มลากเส้นประกอบกันพลางนึกถึงผู้ที่ได้บางสิ่งจากเขาไป บาร์เทิลบีไม่ชอบเล่าเรื่องของตนให้ใครฟังนัก ยิ่งปรึกษายิ่งไปกันใหญ่ แต่ครั้งหนึ่งเขาเผลอหลุดพูดออกมาว่า

“พวกครึ่งเทพนี่หากตายจะเกิดไปเป็นดาวกันใช่มั้ยนะ หากข้าอยากไปเกิดเป็นดาวบ้างจะต้องทำยังไง”

มารดาผู้สูงส่งถึงกับอุทาน โอ๊ะ.. ออกมา เทวดานางฟ้าต่างหยุดกิจกรรมที่พันมืออยู่หันขวับมาทางเขา

“ผู้อื่นเกิดเป็นดาว จำเป็นอะไรเจ้าจึงจะอยากเกิดเป็นดาวด้วยล่ะ” เว้นช่วงไปเล็กน้อยก่อนมารดาจะเอ่ยถาม

“…” นั่นสิ… หากเธเซอุสเกิดเป็นดาว มีเหตุจำเป็นอะไรที่เขาจะอยากไปเกิดเป็นดาวด้วยกันกับคนๆนั้นกันนะ

บาร์เทิลบีไม่ค่อยแน่ใจในความรู้สึกนึกคิดของตนเองเท่าไหร่ การจะกลั่นเป็นคำพูดนั้นยากยิ่งกว่าอะไร เมื่อเห็นว่ามารดาหรี่ตามองพร้อมกับขบคิดนั่นทำให้บาร์เทิลบีโล่งใจตามประสาคนขี้คร้านจะอธิบาย เห็นได้ชัดว่าเธอคงจะมองลึกเข้ามาภายในตัวเขาจะทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว

“เอาเถิด แค่เกิดเป็นดาวจะยากอะไร แต่ด้วยกายของเจ้าก็ยากหน่อย” มารดาหมายถึงกายของเกรกอรี่ กายที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของมนุษย์ เธอหมายความว่าคงยากหน่อยกว่าเกรกอรี่อย่างเขาจะตาย

“อีกอย่าง เจ้าทราบมั้ยว่าดาวไม่คุยกัน… ไม่สิ พวกดาวก็คุยกันบ้าง ด้วยคลื่นที่ปล่อยออกจากแก่นข้างใน แต่ภาษาของดาวไม่ซับซ้อนมากนัก ฮาร์โมนีของจักรวาลจะเหวี่ยงพวกเจ้าให้ไกลห่างกันเป็นช่วง ใกล้กันเป็นช่วง ฉะนั้น พวกดาวจำเป็นจะต้องสื่อสารกันด้วยถ้อยคำที่ประหยัดที่สุด เข้าใจง่ายที่สุด และรวดเร็วที่สุด บางครั้งคลื่นที่ปล่อยออกมาก็ขาดช่วง หากคลื่นของดาวอื่นเกิดสั่นพ้องมาปน ความก็เสียไปหมด” มารดาคลำคางของเธออย่างครุ่นคิด ก่อนจะร้อง อ้อ… เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีกอย่าง

“เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าดาวไม่สัมผัสกัน หากพวกดาวสัมผัสกัน พวกมันจะตาย” คล้ายกับถึงบางอ้อ

บาร์เทิลบีจึงนึกตามพลางคิดถึงสัมผัสที่ปลายขนปีกของตน ว่า

ท่าทางการเกิดเป็นดาวจะไม่ได้น่าสนใจมากเท่าไหร่…

**********

หลังจากสงครามจบลง เธเซอุสก็แทบจะเก็บตัว คนในหมู่บ้านรู้ว่าถ้ำบนผาสูงชันนั้นมีคนอาศัยอยู่ ทุกคนจะเห็นชายหนุ่มคนนั้นบ้างเป็นบางครั้งที่ล่าสัตว์ นานนับปีที่ทุกคนสังเกตเห็นชายหนุ่มลึกลับจนเกิดเป็นความชินชา ครั้งล่าสุดที่เห็นคือครั้งที่ได้ยินเสียงคล้ายกับภูเขาไฟปะทุ พื้นดินสั่นไหว พร้อมกับชายหนุ่มที่แบกหินก้อนใหญ่ยักษ์เกินกว่าจะจินตนาการได้เดินขึ้นยอดผา ทุกคนไม่กล้าเอ่ยถามอะไรเมื่อดวงตาที่ดูไม่ยี่หร่าอะไรเลยนั้นกวาดผ่าน ชายหนุ่มกล่าวสั้นๆแทนคำทักทาย

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ทุกอย่างปกติดี…

แล้วหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็แบกหินก้อนใหญ่ไปเก็บตัวเงียบๆจนทุกคนแทบจะลืมหน้าเขาไป

จากครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นเทวดาแปลกหน้าผมทองก็ผ่านมานาน นานเสียจนหินขรุขระก้อนใหญ่ที่เหลี่ยมบาดผิว เปลี่ยนเป็นหินที่ถูกขัดเงาวับเป็นทรวดทรงงดงาม นึกย้อนไปถึงอดีตเมื่อแม่ยังอยู่ เขาเป็นช่างหินมีฝีมือ แม้จะยากจน การเป็นช่างหินก็ดูเลี้ยงชีพอะไรไม่ได้เท่าที่ควร แต่เขาก็ยังรักในงานฝีมือ จนถึงตอนนี้ก็นึกขอบคุณทักษะที่มีจึงสามารถแกะเทวดาหนุ่มในความทรงจำออกมาได้ แต่ก็มีเพียงแก้วดวงตานั้นที่เขาไม่อาจแปรเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นสิ่งอื่น เขาไม่อาจขัดหินทึบแสงนี้ให้โปร่งใสเหมือนดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองมา

ด้วยการจัดวางท่าทางของรูปแกะสลัก เทวดาหนุ่มดูสูงส่ง คล้ายกับมีแสงเรืองรองสะท้อนออกมาจากผิวของหินที่ถูกขัดจนมันวาว  บาร์เทิลบีนั้นเหมือนก้มลงมองเขา ดวงตาที่ไม่อาจทำให้เหมือนจริงได้นั้นจ้องมองมาด้วยความนัยมากมาย คล้ายกับค่ำคืนนั้นที่เธเซอุสไม่อาจทราบได้ว่า เทวดาหนุ่มคิดเช่นไรอยู่ จะสงสาร สังเวชหรือสมเพชในชะตากรรมของเขา

กลีบขนปีกที่แผ่ออกจากรูปสลักนั้น เขาก็ไม่อาจแกะหินหนาแข็งนี้ให้อ่อนนุ่มได้เหมือนสัมผัสจริงของมัน แม้สัมผัสมันยังค้างคาอ้อยอิ่งอยู่ในความทรงจำแน่นเหลือจะทนเขาก็ไม่อาจสรรค์สร้างมันออกมาได้เหมือนฮีฟิสตัสแม้เราจะเป็นลูกพ่อเดียวกัน

เธเซอุสค่อยๆชโลมมันด้วยยางไม้เหลว เป็นการจบปิดชิ้นงานที่กักเก็บความรู้สึกอันทะลักทลายของเขา เขานั่งเหม่อพลางคิดว่าเทวดานั่นอ่านจดหมายของเขาแล้วจะคิดอย่างไร ความเป็นจริงมันไม่ควรถูกเรียกว่าจดหมายด้วยซ้ำ มันคือความรำพึงที่เขามีต่ออีกฝ่ายมากกว่า อีกทั้งความกะทันหันที่เพื่อนชายคนนั้นโผล่มา ทำให้การค่อยๆนั่งร้อยเรียงความรู้สึกที่มีต่อเทวดาหนุ่มให้ออกมาเป็นประโยคนั้นช่างเป็นเรื่องยากเย็นเกินกว่าความร้อนรนของเขาตอนนั้นจะจัดการได้

การคิดมากเกี่ยวกับสีหน้าเทวดาหนุ่มคนนั้นยามที่อีกฝ่ายอ่านประโยคเว้าวอนในผืนผ้าใบที่ถูกฉีกทำให้ร่างกายเขาร้อนรุ่ม ความเป็นจริงเขาค่อนข้างอับอายเหลือคนาสำหรับเรื่องนี้ ราวกับตัวเขาเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งฟักออกจากเปลือกไข่ เป็นบื้อใบ้ต่อหน้าดวงตาสีน้ำตาล คิดแล้วคิดอีกเธเซอุสจึงออกจากถ้ำแล้วเดินฝ่าหมู่บ้านของกลุ่มผู้อพยพหลังสงครามการรุกรานของไฮเพอร์เรียน มองหาน้ำตกสายใหญ่ที่จะช่วยเขาจากความร้อนรุ่มและอับอาย

**********

เธเซอุสมานึกขึ้นได้ว่าความจริงแล้วแหล่งน้ำไม่ได้ช่วยเขาจากความร้อนรุ่มเท่าไหร่นัก เพราะมันทำให้เขาคิดถึงเทวดาองค์นั้นมาก คิดถึงมากกว่าแค่ใบหน้านั้นและดวงตา เขานึกถึงผืนผ้าบางชุ่มน้ำเปียกชื้นที่แนบกับท่อนขายาวๆมากกว่า ทำเอาเขารำลึกไปถึงเสียงที่ข้างหูยามอีกฝ่ายกล่าวกับเขาว่า

เจ้าคิดอะไรที่ไม่บริสุทธิ์อยู่…

ทำอย่างไรได้ บาร์เทิลบีนั้นราวกับถูกล้อมรอบด้วยมนต์เสน่ห์ลึกลับบางอย่าง เขาเองก็คิดว่าเทวดาอาจเป็นแบบนั้นทุกองค์ แต่ความคิดนั้นก็ถูกพิสูจน์แล้วเมื่อเขาได้พบหน้าเพื่อนหนุ่มเทวดาของบาร์เทิลบี เทวดาองค์นั้นดูแปลกตา มีรัศมีส่องประกาย แต่ไม่ได้ทำให้เขาเมามัวขนาดนั้น ไม่ได้มีแก้วตาที่น่าดึงดูดขนาดนั้นประดับใบหน้า ไม่ได้ทำให้เขาเสียอาการอะไร มองเผินๆคล้ายจะออกไปทางพวกเทพซักองค์ที่เคยบัญชาการเขาด้วยซ้ำ

เธเซอุสกระสับกระส่ายกับเรื่องที่เป็นอยู่เอามากๆ อย่างกับเขาเพิ่งแตกหนุ่มทั้งที่เป็นชายฉกรรจ์มานานโข ทำตัวไม่ถูกเมื่อจำเป็นต้องยอมรับว่าตัวเขาคิดเรื่องหยาบโลนกับเทวดาจริงๆ แต่มันช่างไม่เหมาะสม เป็นการไม่ให้เกียรติเทวดาที่ถึงกับออกปากว่าอยู่กับเขาแล้วรู้สึกสบายใจ เขาเหมือนกับกำลังทรยศความไว้ใจ เขาคิดไปพลางบิดขยี้เสื้อผ้าที่นำมาซักเพื่อระบายอารมณ์ ผ้าป่านเนื้อหยาบถูกเขาบิดขยี้ทั้งที่ไม่ได้มีคราบสกปรกอะไรเป็นพิเศษนอกไปจากเหงื่อไคลจากชีวิตประจำวัน

เขาเสยผมหยักศกที่รวบจับกันเป็นกลุ่มเส้นใหญ่จากความเปียกชื้น หลังจากตากเสื้อผ้าก็จ้ำอ้าวลงแหล่งน้ำไป ในใจกล่าวว่าการสงบสติอารมณ์ในน้ำก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่นัก หลังจากโดนเข้ากับความเย็นของผิวน้ำ เขาก็เหมือนจะสงบขึ้นมาเปลาะหนึ่ง

“นี่เจ้าน่ะ!!!”

เสียงที่คุ้นเคยจากความทรงจำทำเอาเธเซอุสที่ลงน้ำไปเกือบครึ่งตัวหันแทบไม่ทัน

ไม่เอาน่า…

ใบหน้าที่ผุดในความคิดทั้งวันทั้งคืนจนฟุ้งซ่าน คิดจะกักเก็บไว้ไหน ฝังลืมที่ไหนก็ทำไม่ได้เพราะมันไม่ใช่สิ่งของ ตามหลอกหลอนมานานนับแรมปี ได้แต่เฝ้าฝันว่าบางทีอาจจะได้พบเขาเมื่อความตายมาเยือนหา เธเซอุสนิ่งค้าง จมจ่อมสายตาของเขากับใบหน้านั้นที่คะนึงหาอยู่ทุกเมื่อชั่วยาม และไม่ต่างจากครั้งแรกที่พวกเขาได้พบหน้ากัน เธเซอุสบื้อใบ้เสียจนไม่รู้จะกล่าวตอบอะไรเทวดาหนุ่มที่ยืนเท้าเอวที่ขอบของแหล่งน้ำ ครั้นพินิจใบหน้านั้นนานๆก็จะเห็นได้ถึงรอยเลือดฝาดผ่านผิวขาวเป็นริ้ว เทวดาออกจะหอบน้อยๆคล้ายกับเร่งรีบกระทำอะไรซักอย่าง ที่เท้าและชายผ้าบางนั้นก็คล้ายกับเปื้อนเศษดินหญ้า

“เจ้า มาที่นี่ได้อย่างไร…” เธเซอุสกล่าวเบาๆ ถึงแม้น้ำตกสายใหญ่จะแผดเสียงดังลั่น แต่บาร์เทิลบีก็ได้ยินมันชัด

“แค่หาว่าเจ้าอยู่ไหนมันไม่ได้ยากนักหรอก เช่นเดียวกับเพื่อนของข้า” ตอบไปพลางผ่ามือที่เท้าเอวตัวเองอยู่ก็กระชับแน่นขึ้น

“อย่างนั้นแล้ว…” เธเซอุสดับเสียงของตนแทบไม่ทันก่อนประโยคเต็มจะหลุดออกมา ให้ตายเถอะ จะไปถามคำถามแบบนั้นได้อย่างไร เขามีสิทธิ์อะไรจะไปเง้างอนถามคำถามแปลกๆที่ไร้เหตุผลนั่น

อย่างนั้นแล้ว… ทำไมจึงไม่มาหาข้าให้เร็วกว่านี้กัน

เธเซอุสแค่ลืม ลืมไปว่าเกรกอรี่เห็นทุกสิ่ง รับรู้ได้ทุกสิ่ง แม้แต่ประโยคเต็มที่ขาดหายไปนั้นบาร์เทิลบีก็รับรู้ เจ้าตัวจึงเอ่ยตอบ

“ข้าเพียงแค่ จำเป็นต้องใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้” ตอบพร้อมกับผลุบสายตาก้มมองปลายเท้าของตน

เรื่องนี้… “เรื่องที่ว่านั้น…” เธเซอุสรำพึงตอบกลับไป

เป็นบาร์เทิลบีที่กล่าวยอมรับซึ่งหน้า “เรื่องความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้า…”

เธเซอุสกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความจริงแล้วจากการสนทนาในคืนนั้น เขาคิดว่ามีเพียงแต่เขาที่คิดไปเองฝ่ายเดียวเสียอีก

“ข้าครุ่นคิดเรื่องที่ว่า ยามต้องมองเจ้าเดินจากไป คล้ายกับบางสิ่งของข้าถูกเจ้าพรากไปกับเจ้า” บาร์เทิลบีกล่าวตรงๆ ใช่ ความคิดส่วนใหญ่ของเขาวนเวียนเกี่ยวกับบางสิ่งที่วูบโหวง สติสัมปชัญญะหลุดลอยเมื่อนึกถึงชายผู้นี้ยามที่เขาว่าง ซึ่งมันเป็นความจริงว่าเขาว่างอยู่ตลอด “ข้าไม่อาจทราบได้ว่าเจ้าเอาสิ่งใดไป ถึงจะย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเราข้าก็ไม่อาจหาสิ่งที่ข้าไม่ทราบว่าถูกพรากเอาไป คล้ายกับสิ่งนั้นยึดติดไปกับตัวเจ้า…” แล้วเกรกอรี่หนุ่มก็เว้นช่วง ต้องยอมรับว่านี่เป็นประโยคที่ยาวมากเกินกว่าเกรกอรี่จอมเกียจคร้านผู้ขึ้นชื่อจะยอมปล่อยให้มันหลุดออกมา ระหว่างทางที่มาที่นี่เขาพยายามเรียบเรียงประโยคและกลั่นกรองให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่นัก

เธเซอุสที่พอจะมองออกถึงความไม่ค่อยเข้าสังคมของคนตรงหน้าจึงตอบกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“เจ้าเองก็พรากบางอย่างจากข้าเช่นกัน!!!”

บาร์เทิลบีเงยหน้าขึ้นทันทีทันใด เขาโต้ “อะไรกัน ข้าไม่…” ก่อนจะสบพบกับสายตาร้อนแรงประดุจไฟกองใหญ่

และความในใจง่ายๆ

เจ้าเองก็พรากจิตวิญญาณข้าไป…

“เจ้ากำลังจะบอกว่าเราต่างถูกอีกฝ่ายพรากในสิ่งเดียวกันอย่างนั้นเหรอ…?” ถามออกไปแผ่วๆ

“ข้าไม่ใช่คนหลงตัวเองนัก แต่ข้าเกรงว่าอาจใช่…” เธเซอุสตอบอ้อมแอ้ม ชักเขินอายในรูปประโยค และเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาไม่ได้คิดไปเองจริงๆ เขาจึงย้ำถามอีกประโยค “หากเจ้าไม่มั่นใจ ข้าคงต้องกล่าวว่าเจ้าพรากใจของข้าไป หรืออีกนัยคือข้าตกหลุมรักเจ้า” ให้ตายเถอะ ผิวคล้ำกรำแดดของเธเซอุสเมื่อมันแดงเถือกด้วยความอับอาย ตอนนี้เขาอย่างกับหม้อทองแดงดำมะเมื่อมใบใหญ่

“…” บาร์เทิลบียังไม่กล่าวตอบอะไร เขาอึ้งนิ่งงัน และเปลี่ยนมากล่าวถึงสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรม

“ข้าคิดว่าเจ้าควรขึ้นจากน้ำมาหารือกันกับข้าเรื่องนี้”

ประโยคนั้นทำเอาเธเซอุสที่หลงลืมไปว่าตัวเองเปล่าเปลือยไปทั้งตัว ครึ่งล่างถูกปกปิดด้วยธารน้ำใส และอย่างว่า เมื่อมันใสสะอาดจะไปปิดบังอะไรๆได้กัน หลงลืมไปเสียได้ว่าเทวดาหนุ่มตนนี้ค่อนข้างอ่อนไหวกับการเปลือยเปล่าร่างกาย

**********

จากหลังเหตุการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนทั้งทางกายและใจ ทั้งคู่กำลังนั่งเคียงกันอยู่ข้างหินก้อนใหญ่ริมลำน้ำ ซึ่งในสายตาของเธเซอุสดูท่าว่าเทวดาหนุ่มจะชอบเล่นน้ำเอามากๆ แม้แต่ขณะที่ตกลงกันว่าจะหารือปรึกษาเรื่องสำคัญก็ไม่วายจะเลิกชายผ้าเครื่องคลุมกายขึ้น หย่อนเท้าลงแกว่งในน้ำ ดูเหมือนบรรยากาศอันน่าอึดอัดระหว่างพวกเขาจะจางหายไปอยู่มาก

เมื่อราวกับเหมือนเทวดาหนุ่มคล้ายจะหลงลืมประเด็นสำคัญระหว่างพวกเขาไป เธเซอุสจึงเริ่มเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูด

“เช่นนั้น เจ้าคิดเช่นไรกับคำบอกรักของข้ากัน” ภายนอกจะดูเหมือนสุขุมแต่ความจริงเขาก็ไม่ได้มีความอดทนมากนักนะ…

บาร์เทิลบีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายพร้อมกับเสมองขึ้นไปบนฟ้าโปร่งที่มีเมฆก้อนเกาะกลุ่มกันดูสะอาดตา “ไม่เคยมีใครบอกรักข้า ที่จริง.. ข้าไม่คิดว่ามีใครเคยรักข้าในแบบเดียวกับเจ้า นั่นทำให้ข้าไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเรื่องนี้อย่างไร” เมื่อพูดจบก็หันกลับไปมองหนุ่มครึ่งเทพนิ่งๆอย่างไร้ความหมาย ซึ่งนั่นทำให้เธเซอุสใจแป้วพอตัว แต่ด้วยความเป็นเขาจึงเอ่ยถามต่อด้วยความเข้าใจ

“ใช้ตัวเจ้าเป็นที่ตั้งสิ คำบอกรักของข้าทำให้เจ้ารู้สึกบางอย่างหรือไม่”

บาร์เทิลบีเท้าคางกับเข่าที่ชันขึ้นและใช้ความคิด “ข้ารู้สึกได้ถึงสิ่งที่เคยหายไปจากตัวข้าก่อนหน้านี้ คล้ายกับว่ามันกลับมาอยู่ที่เดิม” คล้ายกับว่าถูกเติมเต็ม… ประโยคข้างหลังเขาไม่เอ่ย ไม่มีเหตุผลให้ไม่อยากเอ่ย เพียงแค่ประโยคนั้นดูหนักอึ้งเกินกว่าจะคืบคลานออกจากปากของเขา แต่เพียงคำกล่าวแค่นั้นสายตาของเธเซอุสก็อ่อนลงมาก ช่างสมเป็นเทวดาเสียจริง… ทุกทวงท่าและวาจาเอื้อนเอ่ยของคนตรงหน้าขโมยสติที่ตั้งของเขาได้แทบวินาทีต่อวินาที

“หากข้าเข้าใจไม่ผิด คล้ายกับเจ้าถูกข้าขโมยหัวใจไปและเจ้ากำลังได้รับหัวใจของข้าไปแทนที่ของเจ้า”

บาร์เทิลบีตะลึงงัน “จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร…” แต่คำพูดก็ขาดห้วงไปด้วยสายตาแสนคาดหวังจากครึ่งเทพ

“นั่นเป็นเพราะข้าเองก็กำลังคาดหวังว่าเจ้าจะมอบใจของเจ้ามาแทนที่ตำแหน่งว่างเปล่าตรงนี้ของข้าอย่างไรล่ะ…” ไม่พูดเปล่า เขาค่อยๆประคองฝ่ามือที่ทิ้งข้างของเทวดาหนุ่มขึ้นมา วางมันแนบไต้ไหปลาร้าตนลงมาหน่อย ทาบบนอกที่อยู่เหนือหัวใจทางกายภาพ จิตของเกรกอรี่สัมผัสได้ถึงความนัยในเนื้อหาคำพูดนั้น คำถามว่าข้าจะรักเขาตอบได้หรือไม่เช่นนั้นรึ…

“อย่างที่กล่าวไป ความรักของเจ้าค่อนข้างต่างออกไปจากที่เคยประสบมา นั่นทำให้ข้าคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องนี้นัก ข้าไม่อาจทราบได้ว่าข้าจะทำเช่นเดียวกับเจ้าได้หรือไม่” เธเซอุสนึกเอ็นดูคำพูดเหล่านั้นและปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไป

“มารดานั้นรักสรรพสิ่งที่นางสรรค์สร้างขึ้น นางกล่าวเช่นนั้น แต่เมื่อมันสิ้นไปเธอกลับมองดูมันเฉยๆ ข้ากล่าวได้ว่านั่นคงเป็นความรักในแบบมารดา เช่นเดียวกับที่เธอมองข้า แต่ในกรณีของข้า ข้ากลับไม่อาจทำแบบนางได้ หากสิ่งที่ข้ารักสิ้นไปแล้ว บางที… ข้าอาจทนมองมันจากไปไม่ได้” ดวงตาสีน้ำตาลผลุบซ้ายผลุบขวาหาจุดวางสายตาเพื่อจริงจังกับบทสนทนาก่อนจะกลอกกลิ้งกลับมาทางเธเซอุส “เจ้าคิดว่า หากข้าไม่ได้เป็นเหมือนมารดาข้า เจ้าจะรับคำรักของข้าได้หรือไม่…?”

เธเซอุสแสร้งนิ่งคิดพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างตอบกลับมา “ดังเช่นครั้งที่เราจากกัน ลึกๆแล้วข้าทนไม่ได้ที่เห็นเจ้าจากไป บางที… รักของข้าอาจจะเหมือนกับของเจ้ามากกว่าที่คิด” เขาจะถือว่าเทวดาหนุ่มเองก็ รัก เขาเหมือนกัน แม้อีกฝ่ายจะยังไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเลยก็ตาม

“เหมือนกันกับข้าเหรอ…” คล้ายกับจะเห็นประกายสว่างวาบในดวงตาของบาร์เทิลบี

“อีกอย่าง ข้าถามได้หรือไม่ เจ้ารังเกียจสิ่งนี้หรือไม่…?” เธเซอุสถามพร้อมกระชับฝ่ามือของตนเองให้แนบแน่นมากขึ้น บาร์เทิลบีเหลือบมองมือของตนที่ตกอยู่ในการครอบครองแล้วพินิจครูหนึ่ง

“ไม่ ข้าออกจะชอบสัมผัสของเจ้า” เช่นเดียวกับที่ปีกในครานั้น…

คำกล่าวนั้นทำให้ใจหนุ่มครึ่งเทพแทบหยุดเต้น ซึ่งนั่นเป็นเพียงแค่คำเปรียบเปรยเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วมันเต้นตึกตัก ดังลั่นและสั่นไหวจนแทบพุ่งพรวดออกจากปากของเจ้าของ เส้นเลือดสูบฉีดไปทั่วจนผิวสีทองแดงนั้นเข้มขึ้นจนเกินคน มือไม้เขาสั่นและกลับมาบื้อใบ้อีกครั้ง ตอนนี้ฝ่ามือของเทวดาหนุ่มคล้ายจะเป็นของร้อนลวกนิ้วของชายหนุ่มได้ ใจนึงก็อยากจะปล่อยมันคืนสู่เจ้าของเพราะความขัดเขิน อีกใจก็อยากกอบกุมเจ้าของฝ่ามือเข้ามาทั้งตัว เธเซอุสสูดลมหายใจเข้าลึกและเอ่ย

“ให้ตายเถอะ เจ้าจะทำให้ใจข้าหยุดเต้นเอานะ” เขาพูดพร้อมแส่สายตาหลบหลีกออกด้านข้าง

“ถ้าหากว่าเจ้าตาย แล้วเจ้าจะไปเกิดเป็นดวงดาวหรือไม่กัน…” เธเซอุสสะดุดเข้ากับคำถามแปลกๆ แต่ก็ตั้งใจตอบ

“ข้าก็ไม่ทราบเรื่องนั้นได้หรอกนะ… บางทีข้าก็อาจไปปรโลกอย่างคนอื่นเขา ข้าไม่คิดว่าตัวเองเป็นลูกคนโปรดมากพอ” บาร์เทิลบีพยักหน้าตอบออกไป เขานึกถึงความไม่น่าจะสำราญนักของการเกิดเป็นกลุ่มดาวที่ได้ฟังมากจากมารดาซึ่งนั่นทำให้เขาเห็นด้วยกับคำตอบของชายหนุ่ม

“หากเจ้าต้องไปเกิดเป็นดาวตามประสาของลูกเทพข้าก็จะไปด้วย แม้ความจริงมันจะไม่น่าจะสนุกเลยก็ตาม”

.
.
.

เธเซอุสนิ่งค้าง สีหน้าออกไปทางอึ้งกับคำพูดนั้นของบาร์เทิลบี

“เจ้ากำลังจะบอกว่าหากข้าไปไหนเจ้าก็จะไปด้วยกันกับข้าอย่างนั้นเหรอ…” เสียงของเขาคาดหวังไปตามเนื้อหาของประโยค พร้อมกับสายตาที่ส่งออกไป ให้ตายเถอะ… เทวดาตนนี้จะขยันรดน้ำเทปุ๋ยใส่ไม้ในหัวใจเขาไปถึงไหนกัน เจอกันเพียงครู่เดียวต้นอ่อนเล็กๆของเขาก็แทบจะเติบใหญ่เป็นแมกไม้แผ่ขยายร่มเงาภายในชั่วพริบตา เธเซอุสยังกล่าวต่ออีกว่า “แม้ว่าเจ้าจะไม่ค่อยชอบใจกับปลายทางที่ข้ามุ่งหน้าไปนัก เจ้าก็ยังยืนยันว่าจะไปด้วยกันกับข้าสินะ…”

บาร์เทิลบีผู้ขึ้นชื่อเรื่องความโลเล ครั้งนี้เหมือนตาชั่งในใจของเขาเอียงกระเทเร่จนฝั่งหนึ่งของตาชั่งลอยขึ้นสูง

“ข้าแค่คิดว่าไม่อยากมองส่งเจ้าเดินจากไป… ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะไปไหน ข้าก็จะไปกับเจ้า”

.
.
.

“ที่ปรโลกเองก็เช่นกัน” เสียงทุ้มนั้นหนักแน่นหาได้ยากจากเกรกอรี่หนุ่มในรอบพันปี

**********

“ฮึบ!!” เสียงออกแรงยกของหนักลากไปตามพื้นหินอ่อน โลกิพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดของเขาลากสิ่งที่ถูกคลุมผ้าปกปิดเอาไว้ลากผ่านลานวิหารของพระเจ้า ความจริงเขาจะเรียกหาใครมาช่วยเขาก็ได้แต่เขาก็ไม่อยากให้สิ่งที่เป็นความลับนี้ถูกรู้เห็นโดยใครที่เขาไม่ต้องการให้ยุ่มย่าม อย่างที่รู้… พวกเทวดานางฟ้าขึ้นชื่อเรื่องการชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน อีกอย่าง เขาไม่น่าสวมบทคนใจดีเท่าไหร่ น่าจะให้เจ้าหนุ่มลูกเทพนั่นขนเดินไปถึงจุดหมายตั้งแต่แรก สัมผัสของเกรกอรี่ทำให้โลกิล่วงรู้ว่าเธเซอุสไม่อยากจะพบเจอมารดานัก หรือพวกเทวดานางฟ้า ครึ่งเทพนั่นถ่อมตัวเกินไปแล้ว เมื่อเป็นแบบนั้นจะพาเดินแนะนำสถานที่ของพระเจ้าให้หนุ่มนี่ไปก็ใช่เรื่อง จึงสวมบทคนใจดีแล้วกล่าวว่า

ข้าจัดการได้ เจ้าไปตามทางของเจ้าเถอะ…

ก่อนจะมานึกเสียใจที่พบว่าของขวัญชิ้นยักษ์นี่เกินมือของเขามาก ตอนนี้เลยต้องมารับบทกรรมกรลากเข็นสิ่งนี้ไปตามทางลับที่ไม่มีผู้ใดเดินผ่าน แต่เอาเถิด ใช้เวลาไม่นานมันก็จะถูกนำไปประดับในที่ที่ควรจะอยู่แน่นอน โลกิให้กำลังใจตนเองเงียบๆ

แต่เมื่อแวะหยุดพัก แสงเรืองรองของมารดาที่ผ่านมา

“มารดา… ท่าน…” โลกิเสียอาการเล็กน้อย เส้นทางด้านนี้ของวิหารไม่ควรถูกมารดาผู้สูงส่งใช้สัญจรเลยแม้แต่น้อย

มารดาผู้สร้างชี้ไปที่ของขวัญที่ถูกคลุมผ้า “สิ่งนั้น…” เธอไม่จำเป็นต้องเลิกผ้าเปิดออกดูก็รู้ว่าข้างใต้นั่นคือสิ่งใด แต่ก่อนจะได้เอ่ยอะไรต่อ โลกิก็ยิ้มแฉ่งตอบออกมาว่า

บาร์เทิลบีกล่าวว่าเขากลัวท่านจะเหงาเมื่อเขาไม่อยู่ จึงส่งของขวัญชิ้นนี้มาแทนตัวเขา

มารดายิ้มและหัวเราะด้วยความเอ็นดู เธอกล่าว

เห็นอยู่ตลอดจะไปเหงาได้อย่างไรเล่า…

ลมวูบหนึ่งผ่านใบหน้าของบุคคลทั้งสอง บาร์เทิลบีสะกิดเรียกชายหนุ่มข้างกายของตนเองและกล่าวด้วยเสียงร่าเริง

“มารดาบอกข้าว่ารูปสลักฝีมือเจ้างามมากเลยล่ะ”

เธเซอุสโอบไหล่ของเกรกอรี่หนุ่มเข้าแนบชิดกับตนเอง

“อย่างไรก็ไม่งามเท่าตัวจริงของเจ้าหรอก”

End.

[Fanfiction] (AU)Ryben [Henry/Ben]

image

เสียงกระดูกข้อนิ้วกระทบบานประตูเป็นจังหวะ เรียกร้องความสนใจจากคนข้างในพร้อมๆกับประตูห้องที่เปิดออก

“อรุณสวัสดิ์ครับ..แพนเค้กมั้ย? สิทธิพิเศษผมเสิร์ฟให้คุณถึงห้องนอนเลยนะ”เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยทักทายมาพร้อมกับถาดอาหารยื่นมาตรงหน้า ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเสียงทุ้มต่ำลงคอทรงอำนาจของชายหนุ่มตรงหน้าก็ยังดูไม่น่าไว้ใจเหมือนเคย ถึงแม้ใบหน้านั่นจะพยายามยิ้มเป็นมิตร แต่สันกรามเหลี่ยมชัดนั่นก็ยังทำให้ไม่สามารถวางใจได้สุด

เบน แอฟแฟล็คตอบออกไป “ขอบคุณ..”

ถึงแม้ดวงตาสีน้ำตาลจะฉายแววไม่สบายใจขนานใหญ่ออกมาตลอดเวลาก็ตาม เขาวางผ้าขนหนูที่เพิ่งใช้เสร็จลงที่หัวเตียงลวกๆ พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ถอยหลังยามที่อีกฝ่ายเดินตรงมาหาเขาพร้อมถาดอาหารกับรอยยิ้ม

“จริงๆไม่ต้องเข้ามาถึงนี่ก็ได้.. อีกเดี๋ยวฉันก็ลงไป”เขาอดไม่ได้ที่จะถูมือด้วยความประหม่า

สิ่งแปลกปลอมในห้องนี่อย่างอัลฟ่าหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น เขามองตรงมาอย่างหน่ายใจพร้อมวาดถาดอาหารลงที่ปลายเตียง

“ผมรู้ว่าคุณไม่ไว้ใจผม.. ตอนนี้คือส่วนที่ผมเองกำลังพยายามทำให้คุณไว้ใจไง แต่คุณไม่เปิดโอกาสให้ผม..”เขาถอนหายใจและตัดพ้อ ถ้าเป็นเบนในเวลาปกติเขาคงหัวเราะแห้งๆพร้อมกับรีบปลีกตัวออกมาจากสถานการณ์น่าอึดอัด แต่นี่ไม่ใช่เวลาปกติ

“นี่.. คุณจะไว้ใจผมหน่อยไม่ได้เหรอ”ชายตรงหน้ายังพยายามวอนขอ

“ถ้างั้น..ขอฉันใช้โทรศัพท์สิ”

ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง เขากุมขมับและเอ่ยตอบ “คุณก็รู้ว่าผมให้คุณไม่ได้..”

“แล้วนายจะหวังให้ฉันไว้ใจนายได้ยังไงเฮนรี่!!”

เบนระเบิดอารมณ์ออกไปทั้งที่รู้ว่าสถานะอย่างเขานั้นไม่ควรทำ แต่จะโทษเขาเพียงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ นั่นเพราะชายหนุ่มตรงหน้าที่บอกเขาว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้นั้นเอาแต่ทำนั่นทำนี่เหมือนพยายามทำให้เขาใจอ่อน เบนยังไม่เข้าใจในตัวเองด้วยซ้ำว่าหากเขาใจอ่อนนั่นหมายถึงอะไร แต่ที่รู้คือชายหนุ่มคนนั้น เฮนรี่ คาวิลล์ กำลังขังเขา การที่เบนใช้คำว่าขัง นั่นไม่ได้หมายความว่าสร้างห้องเล็กๆแล้วบังคับไม่ให้เขาออกจากห้องหรอก เขาจะเดินไปไหนก็ได้ ไม่ว่าจะห้องครัว ห้องเก็บของ หรือในสวนขนาดใหญ่ที่ประดับประดาไปด้วยพุ่มไม้ตัดเป็นรูปทรง เพียงแต่สถานที่นี้ถึงจะใหญ่แต่ก็มีจำกัด แค่เพียงเงยหน้ามองบานหน้าต่างออกไปไกลแสนไกลคุณจะมองเห็นเส้นขอบฟ้า เส้นที่แบ่งทะเลกับท้องฟ้า ชายหนุ่มขังเขาในห้องขังที่ใหญ่โตโอ่โถง อยู่ด้วยกัน2คนในสถานที่กว้างใหญ่

ก่อนที่เบนจะมาลงเอยอยู่ที่นี่เขาคือเบต้าหนุ่มคนนึง ทำงานเป็นตำรวจนักสืบอยู่ในเมืองท่าเล็กๆที่มักจะเป็นทางผ่านของสิ่งผิดกฎหมาย เขารับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้มาตั้งแต่เข้าทำงานใหม่ๆ นั่นเพราะในสถานีตำรวจนั้นคนน้อยและมีแต่คนแก่ที่หมดไฟ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะสุมไฟให้เจ้าหน้าที่ในนั้น แต่หลายๆคนก็เตือนว่าเขากำลังทำอะไรเกินตัว เบนเคยหัวเราะและนึกถึงฉากในหนังคาวบอย ‘หมดยุคผู้มีอิทธิพลแล้วลุง..’เขานึกถึงประโยคที่กล่าวที่นั่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากมา

ใครจะนึกว่าวันหยุดธรรมดาๆวันหนึ่ง เขากลับเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา คนๆนั้นคือนายหน้าที่เขาตั้งใจจะจับให้ได้คาหนังคาเขามานาน เจ้านั่นกำลังใช้บริการตู้กดบุหรี่อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ เขาจึงตั้งใจเดินตามไป ก่อนมันจะกลายเป็นกับดักไปแทน ความทรงจำสุดท้ายของเขาคือซอยมืดๆที่เมื่อเดินตามเข้าไปแล้วกลับไม่พบใครเลย

เขาตื่นขึ้นมาในกรงมืดๆที่มีแสงลอดผ่าน เมื่อลองขยับร่างกายที่ปวดเปียก เขาพบว่ามันสูงไม่พอขนาดที่เขาจะยืนได้ มันกว้างไม่พอขนาดที่เขาจะเหยียดขาออก เขาจึงทำได้แค่นอนงอตัวอยู่กับพื้นเย็นๆ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน อาจนานเชียวเพราะเขาส่งเสียงไม่ได้ จมูกก็รู้สึกเย็นเฉียบไปจนถึงภายในลำคอ เขาสวมใส่เพียงแค่ผ้าบางๆที่มีเชือกผูกที่สีข้างเหมือนชุดโรงพยาบาล ที่ลำตัวก็รู้สึกขรุขระเป็นเส้นยาวเหมือนมีใครเอาด้ายมาเย็บที่บริเวณท้องและใต้หน้าอก เบนอยู่แบบนั้นอีกซักพักจนหลับไป รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่รู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ที่ข้างนอกกรงขังของเขา เขาได้ยินเสียงคนคุยกัน

เมื่อเขาพยายามส่งเสียง ราวกับมีดค่อยๆกรีดเฉือนลำคอช้าๆ ไม่ไหว.. เขากล่าวกับตัวเอง

แต่จู่ๆผ้าที่ใช้คลุมลูกกรงก็ถูกแง้มออก นั่นทำให้เขารู้ว่าไม่มีใครจะช่วยเขาได้หรอก เพราะดวงตาที่จ้องมองเข้ามาไม่ได้มองเขาในฐานะพระผู้ช่วย ไม่ใช้ดวงตาของคนที่จะช่วยเขาออกไป

ดังนั้นสายตาที่เขาส่งออกไปหาจึงไม่ใช่สายตาของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่เป็นสายตาของหมาจนตรอกที่ต้องการปกป้องอาณาเขตสุดท้าย นั่นคือชีวิตของตัวเอง

นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เขาจำได้เมื่อตื่นขึ้นมาบนเตียง ไม่สิ ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้คือแสงสว่างจ้าที่ส่องหน้าเขา นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ท้องเขาไม่มีด้ายเย็บไว้แบบที่คิดเอาไว้ ส่วนตอนนี้มันเป็นเพียงแผลเป็นขนาดใหญ่ เป็นแผลเป็นเส้นยาว2เส้น ที่รู้สึกแย่ทุกครั้งและคิดกับตัวเองในกระจกว่าโดนเอาอะไรบางอย่างไปรึเปล่า

“พวกเขาไม่ได้เอาอะไรของคุณไปหรอก..ไม่ต้องเป็นห่วง” นั่นเป็นประโยคแรกในการสนทนาระหว่างทั้งคู่ มาพร้อมกับกลิ่นอุ่นๆของเครื่องดื่มร้อน และสัมผัสแปลกๆที่ลอยในอากาศ ไม่รู้ทำไมเบนจึงรู้สึกขนลุกชันเมื่อมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้า รู้สึกว่าบรรยากาศหนักอึ้งและเขาอยากวิ่งหนี เขารู้สึกได้แม้กระทั่งสายตาสีน้ำเงินวาววับที่มองตรงมา

เขารู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคือคนๆนั้นที่มองลอดเข้ามา..

เบนไม่ใช่คนที่จะกลัวเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาเคยเฉียดตายจากการทำงานมาหลายครั้งเกินกว่าที่จะคิดว่าอาการกลัวของเขาเป็นอาการปกติ ใจเขาเต้นถี่จนแทบจะสำรอกออกมาทางปาก ปลายนิ้วเย็นเฉียบ เขาจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายเคยกลัวอะไรมากขนาดนี้มาก่อน แต่ก่อนที่เบนจะได้ทันเริ่มมองหาคว้าอะไรเข้ามาไว้ในมือ ชายหนุ่มพร้อมแก้วกาแฟในมือก็ทิ้งตัวลงฟูกที่นอนจนยวบ เขายื่นแก้วมาตรงหน้า

“กาแฟหน่อยมั้ยครับ..?” น่าอายที่แค่ได้กลิ่น เขาก็ได้ยินเสียงจากท้องในหัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำเพียงแค่รับแก้วมาถือไว้ในมือเท่านั้น

“คุณจะไม่ดื่มมันหน่อยเหรอ..?” สิ่งเดียวที่เบนคิดในใจคือชายหนุ่มตรงหน้ามองดูน่าสะอิดสะเอียนเกินไป ผิดปกติเกินไป ทำไมอีกฝ่ายถึงคิดได้นะว่าเขาที่ตกในสถานการณ์แบบนี้จะสามารถเชื่อใจใครและเอาอะไรจากใครก็ไม่รู้ยัดใส่ปากเพียงแค่เพราะหิวน่ะ เบนไม่ตอบคำถามนั้น เขาพยายามที่จะไม่เปลี่ยนสีหน้ามากเพื่อให้อีกฝ่ายไม่สังเกตเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆที่พราวอยู่ตามกรอบหน้าและตีนผม

“โอเค..ผมคิดว่าผมเข้าใจที่คุณจะพูดนะ” ชายตรงหน้าทำตัวเหมือนสวมวิญญาณนักธุรกิจ ถูมือไปมาและแสดงท่าทางเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า “คุณคงสงสัยว่าคุณอยู่ไหน และผมเป็นใคร..?”

เปล่าเลย..ไอ้หน้าโง่

“ผม.. เฮนรี่ คาวิลล์ และที่นี่คือบ้านผมเอง” ชายหนุ่มที่เพิ่งแนะนำตัวเองผายมือออกกว้าง คล้ายนายหน้าขายบ้าน เขาเดินตรงไปที่หน้าต่างคู่บานใหญ่และเปิดออก ลมพัดเข้ามาแรงจนเบนคิดว่าที่ๆพวกเขาอยู่ตอนนี้นี่สูงขนาดนั้นเลยเหรอ ชายหนุ่มที่ชื่อเฮนรี่ค่อยๆรูดม่านออก “ที่นี่เป็นเกาะที่ผมภูมิใจ.. ผมซื้อไว้นานแต่ไม่เคยได้มาอยู่ แต่ตอนนี้ผมก็มีเหตุผลให้มาอยู่อย่างที่ตั้งใจไว้แล้วครับ..”

เบนเผลอเอียงตัวจนกาแฟหกใส่มือ เขากระตุกตัวเพราะความร้อน ชายตรงหน้าจึงเดินเข้ามา พวกคุณคงนึกภาพออกว่าตอนนี้ ใครที่คุณไม่ไว้ใจกำลังเดินเข้ามาหาคุณขณะที่คุณกำลังจับตามองเขาอยู่ ตอนนี้คุณจะเริ่มบ้า

เบนสาดกาแฟในมือออกไป มันเกือบจะโดนชายคนนั้น แค่เกือบ กาแฟหกเลอะพื้นพรมลายสีน้ำตาล

“โอเค..” ชายคนนี้พูดคำว่า โอเค.. เป็นครั้งที่สอง ถ้าคุณเป็นเบน คุณจะเริ่มรู้แล้วว่าคำว่า โอเค.. หมายความว่า คนพูดกำลังสงบสติอารมณ์ของตัวเอง และคุณจะรู้ว่าคำนี้ไม่ควรถูกพูดออกมาเป็นครั้งที่สาม

“ผมรู้ว่าคุณตกใจ สับสน และเอ่อ..” เขาเว้นช่วงทำให้เบนรีบตะโกนแทรกออกไป

“หยุดเดาใจฉัน แล้วบอกแค่ว่า ฉันจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง ฉันจะกลับบ้านได้ยังไง นั่นต่างหากที่ฉันอยากรู้!!!”

วินาทีหลังจากที่ได้ระเบิดอารมณ์ออกไป ทำไมกันนะ..ทำไมเขารู้สึกว่าเขาสิ้นหวัง เฮนรี่สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ขณะที่เบนมีเพียงแค่แก้วกาแฟหายร้อนแล้วที่เหนียวเป็นคราบ เอาเถอะ..ถ้าเจ้านั่นเดินเข้ามาใกล้เขาก็จะหวดหน้ามันด้วยแก้วกาแฟนี่ล่ะ ทั้งที่คิดแบบนั้น อีกฝ่ายกลับเดินเข้ามาใกล้จนห่างเพียงก้าวเดียว

“อย่างแรกที่ผมกำลังคิดในใจคือ คุณรู้สถานการณ์ของตัวเองมั้ย..? ถ้าผมไม่รู้คำตอบข้อนี้ผมคงจะ..”

“ฉันรู้อยู่แล้ว!!! ฉันถูกไอ้บ้าสติไม่ดีพาฉันมาขังเอาไว้ที่..เมื่อกี้แกบอกว่าเกาะ ฉันถูกไอ้บ้าขังไว้ที่เกาะ”

เฮนรี่ถอนหายใจเฮือก ความหมายของภาษากายนั้นอาจมีความหมายเดียวกับคำว่า โอเค.. “ไม่..คุณไม่รู้เลย ไม่รู้สถานการณ์ตัวเองเลยคุณตำรวจ ก่อนหน้านี้คุณถูกขังในกรง แต่ผมช่วยคุณออกมา ผมซื้อคุณออกจากกรง และตอนนี้คุณเป็นของผม!! เข้าใจสถานการณ์ตัวเองรึยัง ต่อไปนี้ที่นี่คือบ้านของคุณ ผมเป็นเจ้าของของคุณ คุณเป็นโอเมก้าของผม!!”

ลมตีเข้าห้อง ทั้งคู่เงียบใส่กันซักพักก่อนเบนจะส่ายหน้าไปมา

“ฉันว่าแกโดนต้มแล้ว เฮนรี่ คาวิลล์ อย่างแรกคือ ฉันเป็นตำรวจที่ถูกลักพาตัวมาระหว่างที่กำลังตามจับคนร้าย นายโดนข้อหารับของโจร อย่างที่สองคือ ฉันเป็นเบต้า ธรรมดากว่าที่คิด นายถูกหลอกขายของ ไม่มีใครสอนเหรอว่าก่อนซื้อของให้ทดลองใช้น่ะ สงสัยสมัยนี้การซื้อขายออนไลน์คงจะง่ายเกินไปจนทำให้พวกต้มตุ๋นมันทำงานง่าย..”

คำพูดที่แสดงความมั่นใจเกินเหตุของอีกฝ่ายทำให้เฮนรี่ถึงกับกุมขมับ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา

“นั่นสิ.. เบน คำแนะนำของคุณดี ผมคิดว่าผมต้องลองทำตามดู..” พร้อมกันนั้นก็เริ่มขยับขาทำท่าจะก้าวเข้ามาช้าๆ

“ถ้าเข้ามาฉันฟาดแกแน่..” เบนง้างแก้วกาแฟในมือขึ้นสูงอีกครั้ง เฮนรี่จึงหยุดและเผลอตัวไปมองทางอื่นเพื่อใช้ความคิดว่าควรจะทำยังไงต่อไป เบนจึงฉวยโอกาสนี้ฟาดแก้วน้ำไปเต็มขมับอีกฝ่าย

“โอ๊ย!!!” เมื่อเฮนรี่ทรุดตัวลงกับพื้นเขาจึงรีบวิ่งหนีออกจากห้องไป

“เดี๋ยวคุณ!! เดี๋ยว!!!!”

เบนหันซ้ายหันขวา เขาไม่รู้ว่าควรจะไปไหน แค่เพียงเปิดประตูบ้านออกกลิ่นลมทะเลก็พัดเข้ามาเต็มเปา เขาจึงวิ่งลงชายหาด เบนคิดในใจว่าอย่างน้อยชายคนนี้หากว่ารวยได้ขนาดซื้อเกาะเป็นของตัวเอง เรือซักลำจะไม่มีเป็นของตัวเองคงแปลก แต่มันจะอยู่ตรงไหนนี่สิ.. เขามองหาดตั้งแต่ซ้ายจรดขวา ไม่มีอะไรเลย เห็นเพียงแต่โขดหินใหญ่และคลื่นทะเล มันต้องมีสิ.. เขาคิดขณะทึ้งหัวตัวเอง เบนจนมุมแล้ว เกาะนี้กว้างแต่โล่งโจ้ง มองเห็นได้ทั่ว เจ้านั่นน่าจะมีโรงเก็บ.. เขายืนนิ่งขณะที่น้ำทะเลซัดโดนขา แต่จะให้กลับไปที่นั่น.. ระหว่างนั้นเขาก็หันกลับไปมองตัวบ้าน พลางนึกถึงชายหนุ่มที่น่ากลัว น่ากลัวได้ด้วยตนเอง ดวงตาวาวเหมือนหมาล่าเนื้อขณะที่เอาแต่พล่ามคำพูดเป็นมิตรด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ตอนนี้เขากำลังสิ้นหวัง จะเข้าไปหลบในบ้านตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วเพราะระยะห่างจากตัวบ้านและหาดไกลมาก ชายคนนั้นคงเดินออกมาหาเขาเจอก่อน และยิ่งอยู่ในพื้นที่โล่ง เบนทรุดตัวนั่งกับพื้นทรายเปียกๆ ทำไมเขาจึงไม่หามีดแล้วหยิบมาด้วยกันนะ.. อย่างน้อยก็ดีกว่าการนั่งรอความตายอยู่ตรงนี้ หมอนั่นคงจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแน่หลังจากเขาฟาดแก้วน้ำใส่แบบนั้น เมื่อคิดได้แบบนั้นร่างสมส่วนก็ค่อยๆเอนซบหินก้อนใหญ่

เอาไงดีนะ..

*******

กริ๊ก กริ๊ก

ภาพความทรงจำเดิมถูกเปิดเล่นซ้ำ เพดานอันเดิม วิวเดิม ห้องเดิม ราวกับเรื่องก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิด หากแต่ทุกสิ่งที่เหมือนเดิมถูกเพิ่มเติมมาด้วยความผิดหวังที่หนักหน่วงและกุญแจมือที่ยึดติดมือของเขาไว้กับหัวเตียง ถึงจะอยากโวยวายแค่ไหนแต่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ เมื่อคิดได้แบบนั้นดวงตาสีน้ำตาลก็หลบซ่อนลง ร่างกายม้วนห่อตัวเองลึกแน่นในกองผ้าเนื้อหนา ไม่รู้สิ.. ทำไมพอทำแบบนี้แล้วรู้สึกว่าดีขึ้นเยอะเลย ดังนั้นเขาจึงหลับไปอีกครั้ง และตื่นขึ้นมาด้วยความหิว

เบนขยี้เปลือกตาและปรับโฟกัสซักพักก่อนจะยื่นมือไปเปิดโคมไฟที่ข้างหัวนอน เขายันตัวลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะพบว่าติดกุญแจมือเขาจึงกลับมานอนลงคืน โชคร้ายที่เจ้าของบ้านปิดหน้าต่างไปแล้วเขาจึงไม่มีอะไรทำไปมากกว่าการนอนจ้องกองหมอนเงียบๆ ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ ที่บ้านจะเป็นยังไงบ้าน เพื่อนๆที่ทำงานจะตามหาเขารึเปล่า เขาคิดยาวไปถึงเรื่องที่ชายหนุ่มชื่อเฮนรี่ คาวิลล์บอกเขา นั่นหมายความว่าเขาจะไม่ได้กลับบ้านแล้วเหรอ.. เมื่อคิดได้แบบนั้นเบนก็ลูบรอยแผลบนตัว ถ้าเจ้าพวกนั้นไม่ได้เอาอะไรไป.. แล้วพวกมันทำอะไร พวกมันทำอะไรกับร่างกายเขา และคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการที่ชายคนนั้นเรียกเขาว่าโอเมก้าแน่ๆ เพราะเป็นเบต้าเลยไม่เคยเรียนรู้เรื่องในส่วนโอเมก้ามาก่อนเลยแม้แต่น้อย จริงๆก็คือไม่เคยรับรู้ถึงความต่างของสังคม ว่าแต่ว่านะ.. เจ้าพวกนั้นทำได้เนียนถึงขนาดหลอกอัลฟ่าจริงๆได้เลยงั้นเหรอ เบนได้แต่นอนพลิกหน้าพลิกหลังไปมา แล้วฝ่ายนั้นจะเชื่อได้ยังไงว่าเขาไม่ใช่โอเมก้าจริงๆ นอกจากว่าจะพิสูจน์อย่างที่เขาพูดออกไปเองน่ะ ผลสรุปคือเบนนอนลืมตาอยู่อย่างนั้นอีกนาน กว่าเขาจะหลับลงไปอีกครั้งก็ตอนฟ้าใกล้สาง สายๆก็รู้สึกได้ว่าม่านถูกเปิดออก

“เลิกสติแตกรึยัง? เดี๋ยวผมจะเอาอะไรมาให้คุณกิน”

เบนลุกขึ้นนั่ง เขาพูดออกไป “ไม่ต้องหรอก.. แค่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันก็พอ”

เจ้าของบ้านไม่มีทีท่าว่าอยากจะตอบนัก แต่ทั้งอย่างนั้นก็เดินออกจากห้องไปและกลับมาพร้อมแฟ้มเอกสาร เบนรับมาถือไว้ แค่เปิดหน้าแรกก็เป็นประวัติส่วนตัว ครอบครัว การศึกษา สถานที่ทำงาน เขาสถบ “อะไรเนี่ย..” ก่อนจะจบลงที่ตารางที่จั่วหัววันที่และรายละเอียดการให้ยาและการทำหัตถการอื่นๆเหมือนเขาเป็นคนป่วย เขามองวันเดือนปีของช่องแรกสุดและพบว่ามันน่าจะเป็นวันที่เขาถูกลักพาตัวมา

“นายบอกได้มั้ยว่าพวกมันทำอะไรกันฉัน..” ไม่มีสาเหตุ เขาหันกลับมาทางเฮนรี่และเอ่ยถาม เขาอ่านเองไม่มีวันรู้เรื่องหรอก และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะรู้ความจริงไปทีละเปลาะเหมือนปอกหัวหอม “บอกเรื่องที่รู้ที..”

เฮนรี่ลากเก้าอี้ลงมานั่งใกล้ๆ เขาพูด “พวกนั้นตั้งใจจะเปลี่ยนคุณเป็นโอเมก้าแล้วขายให้ใครซักคน โชคดีที่พวกมันติดหนี้ผมก่อนคุณเอยไม่ต้องไปล่องลอยเป็นของเศรษฐีที่ไหนก็ไม่รู้ไง”

เบนขมวดคิ้ว “แล้วที่เป็นอยู่ตอนนี้มันต่างจากที่นายพูดเหรอ.. กับเศรษฐีที่ไหนก็ไม่รู้ ฉันไม่รู้จักนาย”

“แต่ผมรู้จักคุณ.. คุณเป็นตำรวจที่ตามตู้คอนเทนเนอร์ผมทุกเดือน เป็นคุณที่ทำผมต้องเปลี่ยนนายหน้าไม่เว้นอาทิตย์”

เบนพยายามคิดตามเกี่ยวกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “นายสารภาพเองนะว่าเป็นพวกค้าของเถื่อน.. งั้นนี้หมายถึงอะไร ซื้อฉัน? จะแก้แค้น หรือเอามาทรมาน แปลว่าตอนนี้ฉันก็อยู่ในอุ้งมือของคนร้ายอีกคน”

“คุณจะแปลแบบนั้นก็ได้..” เฮนรี่ยักไหล่ “ผมไม่สน.. แค่ต่อไปก็ทำตัวให้ชินกับที่นี่ซะ” หลังจากนั้นเขาก็ไขกุญแจมือออก เมื่อเอาแขนของเบนออกจากกุญแจมือ เฮนรี่ก็ลูบๆจับๆข้อมือนั้นอยู่พักหนึ่ง ถึงแม้เบนจะไม่ได้พยายามฝืนดึงออกหรืออะไรเพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ก็ยังมือรอยถลอกแดงปื้นรอบๆจนได้ เมื่อเริ่มรู้สึกแปลกๆเบนจึงมือกลับมาเป็นของตัวเอง และถามคำถามที่อยากรู้ตั้งแต่เมื่อคืน

“ฉันสงสัยอย่าง.. นายมั่นใจได้ยังไงว่าพวกมันทำสำเร็จ ทำให้ฉันเป็นโอเมก้า”

เฮนรี่ที่จากผลุบตาลงก็เงยหน้าขึ้น เขาตอบสั้นๆ “เพราะกลิ่นคุณไง..” เมื่อเห็นว่าเบนขมวดคิ้วก็พูดต่อว่า “พวกคุณอาจจะไม่รู้ อัลฟ่ากับโอเมก้าอย่างเรามีกลิ่น เป็นฟีโรโมน ในช่วงเวลาปกติ แล้วเราจะแยกได้เองว่าใครเป็นใคร”

“มีเวลาที่ไม่ปกติด้วยเหรอ..?” เบนนึกกลัวคำว่าไม่ปกติ เฮนรี่เห็นแบบนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา ทำเอาคนที่รอคำตอบไหล่สะดุ้ง

“ไม่ปกติ คือ..ฤดูผสมพันธุ์น่ะ ช่วง3เดือน” เบนพยักหน้าถึงจะไม่รู้รายละเอียดแต่ก็พยักหน้า

“คุณเป็นตำรวจนี่.. ไม่รู้เรื่องพวกนี้เหรอ เห็นมีแคมเปญปลอกคอฟรีจากรัฐแล้วก็ศูนย์แจ้งความ24ชม.” เบนไม่สนใจคำพูดของคนนอกที่ไม่ได้ทำงานจริงๆหรอก เขาหมุนข้อมือไปมาและพบว่ามันปวดหนึบและไม่ค่อยมีแรง เมื่อได้ลองพูดคุยกันเขาพบว่าเรื่องตรงหน้าธรรมดากว่าที่คิด อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีคุกคามเขาขนาดนั้น และดูท่าจะไม่ได้โกรธเรื่องแก้วกาแฟด้วย

“แล้วนายจะทำยังไงต่อ ฉันจะกลับบ้านได้ตอนไหน.. ต้องทำอะไรเพื่อแลกเปลี่ยน?” เบนกล่าวราวกับฟังเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่แตกฉานนัก เฮนรี่ที่นั่งมองอยู่ถึงกับอมยิ้มออกมา

“ไม่.. ไม่ คุณจะไม่ได้กลับบ้าน เพราะคุณเป็นของผม”

.

.

.

“ห้ะ…”เขาอุทานออกมาเบาๆ เบาหวิวเหมือนพร้อมลอยไปกับลม “ฉันเข้าใจอะไรผิด.. เรายังไม่เลิกพูดเล่นกันอีกเหรอ”

“ผมไม่ได้มาช่วยคุณให้กลับบ้าน ผมแค่ช่วยคุณจากคนมีเงินคนอื่นที่ไม่ใช่ผม” เฮนรี่พูดต่อพร้อมกอดอกและยืดตัวกับเก้าอี้ที่นั่งอยู่ พร้อมกับสอดส่องสายตาถ้าอดีตตำรวจหนุ่มคนนี้พร้อมจะกลับมาใช้ความรุนแรงอีกครั้ง หลังจากที่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลประกายไม่มีคำพูดอะไรโต้ตอบออกมาเขาก็ค่อยๆยืดขึ้นเหนือคนที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

“อีกอย่าง..ผมไม่ใช่คนใจบุญไร้สาระ ผมเสียเงินเพราะผมอยากได้ ผมถูกใจคุณเป็นพิเศษก็เท่านั้น”

เขาโค้งตัวลงมาเรื่อยๆจนหน้าแทบจะแนบชิดทำให้คนข้างล่างถอยหนีเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาราบลงไปกับเตียง

“แล้วจะปล่อยฉันไปเมื่อไหร่..” เบนถาม หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงสูดหายใจที่ข้างหูยาวๆ

“ผมยังไม่ได้คิด..”

เบนคิดว่าเรื่องแบบนี้มันไกลตัวสำหรับเขาในตอนนี้ หลังจากเรียนจบไฮสคูลเขาสมัครเข้ากรมตำรวจ เริ่มชีวิตอันจืดชืดด้านความรัก สมัยเรียนเขาเองก็เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาและไม่ได้หน้าตาแย่ ดังนั้นเรื่องหาสาวควงไปงานปาร์ตี้จึงไม่ยากเกินตัว ชีวิตเซ็กส์ก็ไม่เว้นช่วงนาน ฮอร์โมนพลุ่งพล่านมีที่ระบายได้ตลอด และโรงเรียนที่เขาเรียนก็เป็นโรงเรียนรัฐใกล้บ้านที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยเบต้า เรื่องที่ต้องยอมรับเลยคือบริเวณบ้านของเบนเป็นชุมชุนที่มีอันจะกิน เมื่อได้ข่าวว่าลูกบ้านไหนเป็นอัลฟ่าก็จะส่งเจ้าตัวไปโรงเรียนเอกชนที่มีชื่ออยู่ในเมือง สมัยเด็กเขาก็เคยมีเพื่อนซึ่งปัจจุบันนี้คงเป็นอัลฟ่าที่รวยอยู่ไหนซักแห่ง ส่วนโอเมก้า..ไม่ เขาไม่เคยมีเพื่อนเป็นโอเมก้า ส่วนโอเมก้าที่มาแจ้งความโดนล่วงละเมิดทางเพศนั่นเขาไม่นับ เพราะนั่นเป็นแค่งานเท่านั้น

สำหรับเขาแล้ว เขาไม่เคยคิดว่าอัลฟ่า โอเมก้า และเบต้าจะแตกต่างกัน ถึงเฮนรี่จะบอกว่าต่างฝ่ายต่างแยกกันออกด้วยกลิ่นและสัมผัส แต่เขาก็ไม่เข้าใจหรอก เขาไม่เห็นเคยรับรู้ เพียงแต่สถานะทางสังคมเป็นตัวบอกเขามากกว่า หนุ่มตัวสูงใหญ่รูปร่างนักกีฬาหรือนักธุรกิจสาวเขร่งขรึมเขี้ยวลากดิน นั่นเป็นอัลฟ่าที่เขาเคยพบเจอ ส่วนโอเมก้า เขาเคยเจอแต่ผู้หญิง มักจะมีท่าทางกลัวอยู่ตลอดเวลา หรือบางครั้งก็ตื่นตระหนก ท่าทางเวลามาสถานีตำรวจไม่เคยดีซักราย ส่วนเพื่อนร่วมงาน เขาเคยเจอเจ้าหน้าที่FBIที่เป็นอัลฟ่าอยู่บ้านเวลาเกิดคดีใหญ่ แต่ก็เพียงแค่ช่วงสั้นๆ

“งั้นแล้วจะทำยังไง.. จะทรมานฉันยังไง เพราะยังไงฉันก็ยังยืนยันว่าฉันเป็นเบต้า” เขารู้สึกแค่ว่าเขาต้องพูดคุยและต้องผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้แบบไร้รอยขีดข่วน

“มันง่ายมาก..ถ้าแค่คุณจะหลับตา ใช้เวลาไม่นาน..”

“นายจะทำอะไร..”

ต่างออกไปในด้านความรู้สึก สำหรับเบนแล้วมันยากมากที่เขาจะขยับตัวหนีซักแค่เซนเดียว ในหัวเขาปฏิเสธกลิ่นกายที่อยู่ด้านบน เพราะกลิ่นตัวก็เป็นได้แค่กลิ่นตัว ไม่สามารถที่จะมามีอำนาจเหนือจิตใจได้ เพียงแค่มันหนักอึ้งเหมือนตรึงเขาอยู่กับที่เท่านั้น ทั้งไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวหนัง เขาอยากจะหลับตาหนีเมื่อคนข้างบนค่อยๆไล้ฝ่ามือไปตามลำตัวและผ่านหลัง จากนั้นก็ก้มหัวลงแนบชิดกับลำคอเขาเรื่อยๆ จากนั้นเขา..

“ไอ้บ้าเอ๊ย!!!! ให้ตายเถอะ เอาหน้าของแกออกไปเลยไอ้โรคจิต ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!!” เขาดิ้นเมื่อรู้สึกได้ว่าลำคอถูกของแหลมคนอุ่นๆค่อยๆกดลงเนื้อ เพียงเสี้ยววินาทีมันแรงขึ้น แรงขึ้น คล้ายกับกำลังถูกฉีกกระชาก และเมื่อถึงจุดหนึ่ง

“หย..หยุด นะ.. หยุดเดี๋ยวนี้..” เบนรู้สึกโหวงเหวงในท้องน้อย เกลียดเมื่อความรู้สึกเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นการยอมจำนน ลำคอเขาด้านชา อยากจะเบี่ยงหน้าหนีเมื่อรู้สึกว่าการทำร้ายนี้มันช่างแสนวิเศษ ราวกับกำลังถูกให้เกียรติและเชื้อเชิญ หากเขาไม่เพ้อเจ้อไปกว่านี้ คงคิดว่าสิ่งที่กำลังถูกกระทำอยู่นี้คือการอ้อนวอนขอให้สนใจ คือการตัดพ้อต่อว่าเมื่อถูกมองข้าม หรือจริงๆแล้วมันคือการประทับตราเหยื่อ

“นี่จะแปลว่าคุณเป็นของผมแล้ว” เบนคิดว่าเขาคิดถูก..

“จะไม่มีใครแย่งคุณไปได้ ทุกคนจะได้กลิ่นของผมติดตัวคุณ.. ไม่มีใครลบกลิ่นนี้ออกไปได้ คุณหนีจากผมไปไม่ได้”

เบนไม่รู้ว่าน้ำตาของเขาไหลออกมาเมื่อไหร่ ยากเกินไปที่จะอธิบายความรู้สึกของเขาเป็นคำพูด ใจหนึ่งเขาก็ยังไม่เชื่อว่าเขาเป็นโอเมก้าจริงๆ ส่วนอีกใจก็เริ่มที่จะยอมรับว่าสิ่งที่คนตรงหน้าทำก็เพื่อให้พิสูจน์ให้เขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด

“นายพูดจริงเหรอ..” เขาเอ่ยถาม “ทั้งหมดมันคือเรื่องจริงเหรอ..ทั้งเรื่องของฉันและเรื่องที่ฉันจะไม่ได้กลับบ้าน”

เฮนรี่มองดูดวงตาสีน้ำตาล ผิดคาดที่สายตาดุดันของเขานั่นอ่อนลงมาก เขายันตัวขึ้นจากเตียง ไม่ตอบคำถาม

“เดี๋ยวผมเอาอาหารเช้ามาให้คุณ.. ไปอาบน้ำเถอะครับ แล้วอีกเดี๋ยวผมจะทำแผลให้”

“เดี๋ยวฉันลงไปเอง..” ก่อนเบนจะพูดจบประโยคประตูก็ปิดลง จึงทำได้เพียงเดินเข้าห้องน้ำไป

คนในกระจกราวกับไม่ใช่ตัวเอง เขาไม่เคยพบว่าตัวเองจะอ่อนแอขนาดนี้ ตาขาวที่แดงก่ำและคราบน้ำตาที่ยังไม่เลือนหาย น่าแปลกที่เขานึกสมเพชตัวเองมากกว่าจะโทษอีกฝ่าย ทุกอย่างเหมาะเจาะ เขาราวกับเพียงแค่ร่วงหล่นและตกลงในอุ้งมือชายคนนั้นอย่างพอดิบพอดี เขามองดูรอยแผลที่ลำคอ มันเคลื่อนไปอยู่บริเวณด้านหลังมากกว่าที่คิด เส้นสีแดงเข้มเป็นรอยฟัน เขาอาจรู้สึกว่ามันเป็นแผลเหวอะถ้าก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกเจ็บมากกว่านี้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่คอเขาไม่หลุดออกเหมือนสิงโตขย้ำเหยื่อ ใบหน้าเขาดูโทรม ดวงตาลึกโบ๋ ถ้ามีอะไรใกล้มือตอนนี้เขาคงใช้มันฆ่าตัวตายมากกว่าคิดจะหนี

อ่างอาบน้ำกว้างเหมือนอยู่ในโรงแรม เบนเปิดน้ำให้ไหลผ่านตัวเอง ระหว่างนั้นเขาก็ก้มมองภาพสั่นไหวที่สะท้อนบนผิวน้ำ ระหว่างนั้นก็ใช้มือเปียกๆลูบทำความสะอาดรอยแผลลึก มันร้อนผ่าวและ.. เหวอะหวะกว่าที่คาด ชิ้นหนังกำพร้าลอกออกรอบๆ ชิ้นเนื้อตรงกลางก็ดูคล้ายกับจะหลุดออกถ้าเขาจับแรงเกินไป แต่ที่เบนสนใจคือ กลิ่นของอีกฝ่าย

เป็นเรื่องจริงเหรอที่ว่ากลิ่นของชายคนนั้นจะติดตัวเขาตลอดไป เขาหันข้างและดมไหล่ของตัวเอง ไม่..ไม่รู้ และเขาไม่อยากคิดเรื่องนี้แม้มันจะอดคิดไม่ได้เมื่ออยู่คนเดียว

“หันหลังให้ผมสิ..”

เบนสะดุ้งตัวเมื่อได้ยินเสียง เขาหลุดปากเอ็ดออกไป “อย่ามาเงียบๆได้มั้ย..เคาะประตูก่อนสิ” หลังจากนั้นเขาก็รีบติดกระดุมเสื้อ มันถูกวางอยู่ก่อนแล้ว มันคล้ายจะเป็นเสื้อเชิ้ตที่เข้ากันเป็นชุดนอนแขก

“ขอโทษครับ..ผมแค่คิดว่า เพื่อความสบายใจของคุณ..ผมควรจะมาเงียบๆ”

“นั่นเป็นความคิดหรือข้ออ้างที่โง่ที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมา” เขาเผลอตัวเป็นครั้งที่สองเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากขอโทษ อย่างน้อยเขาก็แอบรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องดี ประโยคขอโทษนั้นเหมือนเป็นสิ่งที่บอกว่าเขามีบางอย่างที่เหนือกว่าอยู่บ้าง มันทำให้เขาสบายใจและหายเกร็งแม้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้จะเกิดเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิต

“ถ้าคุณเจ็บก็บอกผมได้นะ..” คำปลอบประโลมนั้นมาพร้อมกับสิ่งเปียกชื้นเย็นๆที่แต้มที่บริเวณแผล

ถึงมันจะเจ็บเขาก็ไม่ร้องหรอก.. เบนคิดเช่นนั้นแม้ว่าเมื่อวินาทีแรกที่ยาถูกแปะบนแผลเต็มๆเขาจะเผลอสะดุ้งตัวอย่างแรงก็ตาม หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยคำว่า “ผมขอโทษ..” ซ้ำๆ

ทั้งหมดนั้นผ่านมาแล้วเกือบหนึ่งอาทิตย์ จนรอยแผลเริ่มประสานกันกลับมา เบนแปลกใจที่มันยังเป็นรอยกัดที่เด่นชัดแทนที่จะตกสะเก็ด เขาเดินไปทั่วบ้านหลังใหญ่ ก่อนจะพบว่าบ้านหลังนี้ไม่มีโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ อย่างกับสร้างมาเพื่อเก็บซ่อนคนโชคร้ายอย่างเขา เจ้าของบ้านไม่ชอบเวลาที่เขาไม่เรียกชื่ออีกฝ่ายและใช้สรรพนามแทนตัวเกือบทั้งหมดของการสนทนา ที่เขารู้นั่นก็เพราะเวลาที่เดินเข้ามาหาเขาอย่างไร้เหตุผลนั่นมักจะตามมาด้วยประโยคที่ว่า ‘เรียกผมว่าเฮนรี่สิ..’ ทั้งๆที่เบนคิดว่ามันไม่มีเหตุที่เขาจะเรียกหาอีกฝ่าย

เขาเกลียดที่บรรยากาศอ้างว้างของเกาะกว้างๆนี้ที่ทำให้เขารู้สึกชินกับมันง่ายเกินไป เขาเหงาจนเหมือนจะเป็นใบ้ กับเฮนรี่เขาก็ทำได้เพียงแค่นั่งมองว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อไป เฮนรี่ไม่ค่อยใช้โทรศัพท์บ่อย เก็บเอาไว้ตรงไหนเขาก็ไม่รู้ ชายหนุ่มมักจะเดินหายไปและกลับมาเมื่อเสร็จธุระ ถึงแม้จะเหงาแต่เขาไม่ค่อยได้อยู่คนเดียวเท่าไหร่ จนบางครั้งเขาถึงกับเอ่ยปากว่า ‘อะไรทำให้นายมาลงเอยกับการทำตัวโรคจิตแบบนี้..?’ อีกฝ่ายยิ้มพอใจกับคำถามนั้นแต่ก็ไม่ตอบอะไร

แต่ในที่สุดเบนก็เป็นบ้า เขาทนอยู่แบบนี้ไม่ได้ เขาจึงเริ่มถามคำถาม

“ขอฉันใช้โทรศัพท์ได้มั้ย..?”

เฮนรี่ทำท่าลำบากใจเล็กน้อย “ผมให้คุณไม่ได้หรอก..”

ใช่ว่าเขาจะไม่รู้คำตอบ เขาจึงหันหลังเดินหนีไป เขาถามบ่อยและหวังว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อนให้บ้าง คือ..มันเป็นวิธีตะล่อมคนร้ายที่เขาคิดว่ามันน่าจะได้ผลกับคนประเภทนี้ เบนไม่นึกกลัวเมื่อเขาต้องเอ่ยคำถามนี้ซ้ำๆ เขามักจะโพล่งขึ้นระหว่างที่บรรยากาศกำลังลื่นไหล และครั้งนี้ก็เหมือนกัน เพียงแค่เขารู้สึกแย่ที่เฮนรี่พูดเรื่องความไว้ใจขึ้นมาก่อน

เบนเคยผ่านงานมาแล้วหลายคดี ถึงแม้รัฐที่เขาอยู่จะเป็นรัฐเล็กๆ เป็นเมืองเล็กๆ แต่อเมริกาเป็นประเทศใหญ่ ผู้คนมีอัตตาของตัวเอง และการกักขังหน่วงเหนี่ยวก็เป็นหนึ่งในอัตตาของคนเหล่านั้น

เบนรู้สึกโกรธเมื่อคนที่ขังเขากล่าวถามความไว้ใจจากเขา.. เมื่อคิดแบบนั้นแผลบริเวณลำคอที่เขาไม่จำเป็นต้องใช้ผ้ากอซปิดก็ร้อนผ่าวและเต้นตุบๆขึ้นราวกับตัวเองเป็นแผลอักเสบ เขาโกรธขึ้นอีกเมื่อเรื่องเล็กๆนี้ทำให้เขาสลัดเรื่องของเฮนรี่ออกจากหัวไม่ได้ เมื่อเขาเริ่มเศร้าก็จะมีคำว่า ทำไม.. ผุดขึ้นเต็มหัว

“ทำไมต้องเป็นฉัน..” เขาพูดเบาๆเมื่อหนีออกมานั่งที่ม้านั่งในสวน

“คุณแค่โชคร้าย..” เขาหันขวับไปตามเสียงพูด เฮนรี่ที่ยืนนิ่งไม่สั่นไหวมองอยู่

“งั้นทำไมนายต้องเสียเงินเพื่อซื้อคนโชคร้ายมาเป็นของตัวเอง..” เขาเกลียดที่นึกไปว่าตนอาจแสดงสายตาอ้อนวอนเพื่อให้ได้คำตอบมา

“เพราะผมคิดว่ามันคุ้ม..”

เบนหันหน้ากลับมาคืน

“นั่นเป็นคำตอบที่ไร้เหตุผลที่ฉันเคยได้ยินมาเลย..” เขากล่าว

หลังจากนั้นเฮนรี่ก็วางตัวลงนั่งข้างๆเขาบนม้านั่ง เมื่อเสียงหัวใจดังขึ้นจนเมินไม่ได้

เขาจึงเริ่มรู้สึกขยะแขยงความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้น..

[Fanfiction] (AU)Ryben [Henry/Ben]

april_2017-06-04-15-35-25-050

“เป็นวันที่ดีสำหรับกองทหารราบ..”
เฮนรี่ คาวิลล์กระชับกระเป๋าเป้ทหารสีเขียวแก่บนหลังพลางบอกลาเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่ถึงกำหนดลาพักร้อนแบบเขา หลังจากภารกิจสำคัญเพิ่งผ่านพ้นไปเฮนรี่ได้รับความดีความชอบจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่พอควรซึ่งนั่นทำให้เขาได้มีวันหยุดพักร้อนยาวๆแบบที่เคยใฝ่ฝันขณะวิ่งหลบกระสุนปืนไปเมื่อไม่นาน
เขาเดินขึ้นเครื่องบินโดยสารและนั่งรอตามกำหนดการเดินทาง เฮนรี่มองนาฬิกาข้อมือหลายครั้งหลายครา ว่ากันตามตรงแล้วเฮนรี่ก็ไม่ได้กลับอเมริกามานานมากจนแทบจะลืมสัมผัสของการแช่น้ำในอ่างหรือการซื้อของสดจากซุปเปอร์มาเก็ตกลับบ้านไปทำอาหาร เมื่อเครื่องขึ้นบินและลงจอดเขาถึงเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองได้กลับบ้านจริงๆจังๆซักที

ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ ท้องฟ้าสีแดงอมม่วงสื่อได้ถึงเวลาพลบค่ำแบบสากลนั่นทำให้รู้สึกคิดถึงได้ง่ายๆ ใช้เวลาไม่นานจากคูเวตถึงนิวยอร์ก เฮนรี่เดินลงจากเครื่องเพื่อมาที่ตู้ล็อคเกอร์ส่วนตัว ระหว่างทางก็ทำความเคารพนายทหารไปหลายคน เขาเปิดล็อคเกอร์เพื่อหยิบของส่วนตัวออกมายัดเก็บใส่กระเป๋าเป้และไม่ลืมที่จะคว้ากุญแจรถของตัวเองด้วย แลนครุยเซอร์คันใหญ่ที่จอดนิ่งในลานจอดเมื่อมองก็ทำให้อบอุ่น ดูเหมือนว่าลูกน้องของเขาจะรับผิดชอบมันได้ดีเกินคาด เฮนรี่ไม่จำเป็นต้องหยุดคิดอะไร เขาขึ้นนั่ง สตาร์ทเครื่องรถและทะยานไปตามเส้นทางกลับบ้าน

บ้านของเฮนรี่เป็นบ้านธรรมดาที่ทำเลดี ติดถนน หน้าบ้านของเขามีธงชาติแบบที่ทหารมักจะมีติดไว้ บ้านรอบข้างเปล่งแสงสว่างจ้าจากดวงไฟต่างจากบ้านของเฮนรี่ที่ปิดเงียบ มืดและวังเวง นั่นตอกย้ำความเป็นชายโสดตัวคนเดียว

เขาสับคัทเอาท์แผงวงจรขึ้นและตรวจเช็คความเรียบร้อยพลางนึกไปว่าคราวหน้าคงจะต้องตัดใจจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดหน่อยแล้วเพราะระยะหลังนี้เขาไปนานกว่าเดิมในแต่ละรอบ

ระหว่างที่เฮนรี่อาบน้ำในห้องน้ำที่ซึ่งระบบน้ำติดๆขัดๆเพราะไม่ได้ซ่อมบำรุงมานานเขาก็คิดเตลิดเพลินเพลินไปว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร จะไปหาใคร จะไปที่ไหนตามแบบฉบับคนที่ไม่ได้กลับบ้านมานาน เขาเช็ดหน้าเช็ดตาส่องกระจกแล้วคิดว่าอย่างน้อยโปรแกรมวันนี้ก็คือการดื่มฉลองให้กับการกลับบ้าน หลายๆคนแย้งว่าไม่ใช่ทหารทุกคนที่จะหาเรื่องดื่มตลอดเวลา แต่ก็อยากให้คิดซะว่าทหารส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น รึไม่ก็เฮนรี่ คาวิลล์คนนึงนี่แหละ

“เบียร์สดแก้วหนึ่ง..”ไวกว่าความคิด เฮนรี่ย้ายตัวเข้ามาอยู่ในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง

ผับนี้เป็นผับเล็กๆที่ไม่ได้มีฟลอร์เต้นรำใหญ่โต ไม่ได้มีโซฟายาวหรูหราหรือห้องวีไอพีแบบส่วนตัว ที่นี่เป็นเพียงผับข้างทางที่ภายในมีเพียงชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ เพลงที่เปิดก็เป็นแค่เพลงแจ๊สช้าๆสบายหูแต่ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็ไม่ได้เงียบสงัดแบบร้านที่ไม่ได้รับความนิยมกลับมีผู้คนมากมายหลากหลายวัยมาชุมนุมกันเป็นกลุ่มๆไป เฮนรี่นั่งอยู่ที่เคาท์เตอร์บาร์เพื่อความเป็นส่วนตัวและความสะดวก ทั้งนี้ด้านข้างเขาก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว

ชายหนุ่มที่ว่าดูมีท่าทีสบายๆและคล้ายจะเจ้าสำราญสักเล็กน้อย เขาสวมกางเกงขายาวและเสื้อเชิ้ตติดกระดุมเนื้อบางที่พอจะสามารถมองเห็นใต้ร่มผ้าได้บ้าง ระหว่างที่ละเลียดแอลกอฮอล์แก้วใหญ่เนื้อหนาในมือสายตาเขาก็กลับเหลือบตามองไปอย่างเสียมารยาท เขาไล่มองไปตามข้อมือข้อแขนเนียนสวยดูนุ่มนิ่มไม่ได้แข็งกล้ามเนื้อและใหญ่โตแบบของตัวเอง เฮนรี่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปตามเรือนร่างของชายหนุ่มที่ไม่ทันสังเกตว่าตัวเองถูกลวนลามทางสายตา

เบน แอฟแฟล็คกำลังเบื่อหน่าย เขาเครียดเรื่องงานและตอนนี้กำลังนั่งเท้าคางมองบรรยากาศรอบข้างโดยหวังว่ามันอาจจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น ที่ผับนี้เบนถือเป็นขาประจำและออกจะดังเล็กน้อยซึ่งเขาเองก็ต้องยอมรับ อาจเนื่องด้วยว่าชายหนุ่มที่เดินผ่านหน้าเขาไปกว่าครึ่งส่วนใหญ่ก็เคยหยอดจีบเขามาบ้างและบางคนก็เคยนอนกับเขา ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าจะมีใครส่งยิ้มมาให้เขา

จู่ๆเขาก็พลันรู้สึกขนลุกกราวทำให้ต้องกวาดตามองไปทั่วราวกับว่ามีใครมองเขาอยู่ อาจด้วยว่าเบนนั่งหันหน้าในทิศนั้นจนชินไม่ทันได้เฉลียวใจว่ามีใครนั่งด้านหลังเขา เมื่อไม่เห็นว่าเจ้าของกลิ่นอายที่จับตามองเขาเป็นใครเบนจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้พรวดพราดขึ้นมาทำให้เซถลาถอยหลังไปชนเข้ากับเฮนรี่ที่จ้องมองอยู่อย่างไม่วางพอดิบพอดี เบนที่ไม่ได้รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรเรื่องนี้รีบขอโทษขอโพยคนข้างหลังเป็นการใหญ่

“ผมขอโทษ คุณไม่เป็นไรนะ!!!”น้ำเสียงเบนตื่นตระหนกเพราะคนตรงหน้าดูหน้าไม่คุ้นเลยสำหรับเขา เฮนรี่รีบสูดหายใจเข้าลึกๆหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รู้เรื่องที่เขาแอบมองหรอกนะ พร้อมกันนั้นก็รีบตอบออกไป

“ไม่หรอก ผมไม่เป็นไร คุณต่างหากล่ะ..”

เบนรีบวางก้นนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมที่เพิ่งลุกขึ้นมาเมื่อตะกี้นี้คืนเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจว่าตัวเขาไม่ได้เป็นอะไรจากอุบัติเหตุครั้งนี้พร้อมๆกับสอดส่องสายตามองสำรวจชายตรงหน้าอย่างไม่ปิดบังซึ่งคนถูกมองก็ไม่ได้มีทีท่าจะใส่ใจอะไรมากนัก เฮนรี่ถือโอกาสสั่งค็อกเทลแก้วหนึ่งให้เบนซึ่งถ้าเบนไม่ได้คิดมากอะไรมันคงจะเรียกว่าการขอโทษที่ไม่ได้จำเป็นนัก เบนลูบแก้วที่ได้รับมาและเลิกคิ้วสูง

“ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย”เขายิ้มอย่างซุกซนน้อยๆ “ผมเบน แอฟแฟล็ค.. บอกชื่อคุณกับผมได้มั้ย”พร้อมกับเอียงคอ

เฮนรี่แทบจะรับรู้ได้ในทันทีว่าชายหนุ่มตรงหน้าคงจะไม่ใช่ธรรมดาดูจากการเล่นหูเล่นตาใส่เขาแบบที่เห็น เพียงแต่ว่าเขาเองก็ไม่เคยเห็นใครดูดีได้ถึงขนาดนี้ เบน แอฟแฟล็คคนนี้ดูติดจะเนี้ยบเล็กน้อยเมื่อดูจากหนวดเคราที่ไม่ได้ปล่อยเทอะทะไม่เป็นทรงแบบเขา ตัวสูงคล้ายจะเก้งก้างแต่กลับสมส่วมและเสื้อผ้าสีอ่อนสะอาดสะอ้านปราศจากรอยยับ เมื่อเคลื่อนมาสังเกตบุคลิกท่าทางเฮนรี่ก็คิดเอาไว้ไม่ผิด เดาจากสายตาแพรวพราวที่ส่งออกมาสื่อได้ถึงว่าความเจ้าสำราญจริงๆ เฮนรี่ยิ้มออกไปและลอบเก็บซ่อนสายตาราวกับสัตว์นักล่าของตัวเองเอาไว้

“เฮนรี่ คาวิลล์ครับ.. เรียกผมเฮนรี่ก็ได้”

“งั้นก็เรียกผมเบนสิ”เสียงนั้นตอบออกมาแทบจะทันที หลังจากสำรวจอีกฝ่ายทางสายตาแทบจะทั้งตัวแล้วเขาก็รู้สึกได้เลยว่าเฮนรี่คนนี้ตรงสเป็คเขาสุดๆแต่เมื่อดูท่าทางจะไม่ใช่คนแถวนี้ด้วยความอยากรู้เบนจึงถามออกไป

“คุณมาจากไหนผมไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย.. ที่นี่ไม่ค่อยมีใครมาหรอก จะมีก็มีแต่คนเดิมๆ”

“คุณมาที่นี่บ่อยเหรอครับ?”เฮนรี่ถามลองเชิงทำให้เบนหายเกร็ง

“ไม่บ่อยหรอก.. แต่ผมก็มาที่นี่ประจำไม่ค่อยจะไปที่อื่นหรอก แล้วก็..คุณตอบไม่ตรงคำถามนะ”

“บ้านผมก็อยู่ใกล้ๆนี่ แต่ผมซื้อทิ้งไว้ไม่ค่อยจะได้กลับมาหรอก.. ผมทำงานที่อื่นน่ะ”

“ใกล้ๆนี่ที่ไหนกันนะ..”

โอเค.. เฮนรี่คิดในใจ

 

“คุณรู้อะไรมั้ย ผมโคตรโชคดีเลยที่กลับบ้านมาแล้วทำความสะอาดเตียงก่อนเป็นอันดับแรก”น้ำเสียงลึกเปล่งออกมาข้างๆใบหูของชายหนุ่มที่ง่วนอยู่กับการเบียดแนบสะโพกกับเจ้าหนูที่กำลังผงาดอยู่ใต้กางเกงเนื้อหนา

“งั้นก็แปลว่าถ้าเราจะย้ายไปทำที่ห้องน้ำก็ไม่ได้น่ะสิ”หนุ่มร่างสมส่วนในอ้อมแขนเอี้ยวตัวเพื่อจูบ เฮนรี่จูบตอบพร้อมกับหัวเราะมุกตลกนั้นในลำคอ

“ผมว่าน่าจะได้นะ แต่อ่างอาบน้ำอาจจะฝืดหน่อย มันไม่โดนน้ำมานาน”เฮนรี่พูดพลางระดมจูบที่ใบหูและหลังคอของชายหนุ่มระหว่างถอดกางเกง แต่เขาโดนขัดจังหวะเข้าซะก่อนจะได้งัดลำเอ็นขึ้นโชว์ผงาด

“เดี๋ยวผมทำให้..ดีกว่ามั้ย”เบนช้อนดวงตาสีน้ำตาลเขาขึ้นออดอ้อน อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายอึกอักใช้ฝ่ามือค่อยๆรูดซิปกางเกงลง ในทีแรกเขาตั้งใจว่าเขาจะเป็นฝ่ายปลุกมันให้ตื่นแต่เมื่อได้มองตรงๆเขาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการให้ช่วยเท่าไหร่

“คุณชอบท่าไหน..?”เฮนรี่ถามขึ้นเมื่อทั้งคู่กำลังจะมาจบที่มิชชันนารีธรรมดาๆ

“คุณชอบแบบผาดโผนเหรอ..”คนที่อ้าขารอหัวเราะคิกคัก “ไม่..ผมไม่ได้ชอบท่าไหนเป็นพิเศษหรอก หรือคุณชอบล่ะ? แบบไหนผมก็ทำได้นะ”เขาพูดพร้อมส่งสายตาว่ามันเป็นเรื่องจริง

“เปล่า..”ชายหนุ่มเลิ่กลั่กผิดรูปลักษณ์ดุดันภายนอก “ผมแค่สงสัยว่าคุณจะโอเคมั้ยถ้าผมชอบทำแบบเห็นหน้า..”คนข้างใต้เลิกคิ้ว

“ไม่หรอกน่า..ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นดีออก นานๆทีผมจะเจอคนแบบคุณนะเนี่ย”เขาเงยหน้าขึ้นจูบปลายคางของชายร่างใหญ่ ถึงแม้เคราใหญ่หนาของเขาจะเป็นอุปสรรคทำให้เบนไม่สามารถจูบปลายคางได้จริงๆก็เถอะ..

“งั้นก็..”เฮนรี่เสือกเจ้าหนูของเขาเข้าไปช้าๆ มันนุ่มนวลซะจนเบนผิดคาดในใจ หืม..ก็ใครจะไปนึกล่ะว่าเจ้าของหนวดเคราฟูฟ่องและสายตาที่ดุดันจะเป็นชายหนุ่มแสนสุภาพได้ขนาดนี้ แต่เขาก็คิดแบบนั้นได้ไม่นานเพราะเมื่อภายในเริ่มขยับเขาก็เกือบลืมไปเผลอสบประมาทไปชั่วขณะหนึ่ง

“ด เดี๋ยวสิ..”เบนแทบร้องขอไม่ทัน ถ้าช้าสลับเร็วแบบนั้นคงกะจะให้เขาเสร็จตั้งแต่ยังไม่ถึง10นาทีเลยน่ะสิ เฮนรี่ก้มลงจูบและขบกัดไปตามใบหู ทีแรกมันจั๊กจี้แต่เมื่อเริ่มชินเบนก็รู้สึกเพลิดเพลินไปกับมัน เขากล่าว “ตั้งแต่มีเซ็กส์มายังไม่เคยมีใครกัดผมได้แบบคุณเลย..”พร้อมทั้งวาดแขนโอบให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้กว่าเดิม การกระทำนั้นทำให้จังหวะของเฮนรี่เริ่มเปลี่ยน เขาขยับช้าลงแต่หนักขึ้น การทำแบบนั้นทำให้ทั้งคู่เริ่มดื่มด่ำบรรยากาศไปด้วยกัน

“รู้มั้ย..ทีแรกผมว่าจะกลับ แต่คุณเก่งดี ตามใจคุณเลย”

เฮนรี่หัวเราะในลำคอ และมันดูเถื่อนสุดยอด “งั้นถ้าไม่ว่าอะไร..คุณช่วยอยู่กับผมทั้งคืนได้มั้ย?”

“ผมบอกแล้วไง..ตามใจคุณ”

**************************

Talk: แง เบื่อๆเลยเอาฟิคเก่ามาแต่งต่อ สำหรับเนื้อเรื่องจริงๆก็อยากได้แบบคูมทหารกับเจ้าของฟาร์มแต่งงานกัน((ฟฟฟฟฟฟฟ/////))ละก็แบบ..คิดถึงเวลาห่างกัน จริงๆAUนี้ชงมานานก่อนจะไซคริส ถ้าตอนนั้นมีไซคริสก็อาจจะไม่ใช่แบบนี้ แต่นี่คือรี่เบนไงคะ!!! เพราะงั้นจงเพลิดเพลินไปกับมันซะแล้วลืมทุกอย่าง อยากให้มีต่อก็บอกนะคะคือไม่ค่อยแน่ใจสำหรับAUนี้เหมือนกัน คือเหมือนเอาแค่สนองนีท((5555555)) ละอีกอย่างคืออย่าผิดหวังกับฉากพอร์นน๊า คือมันยากอ่ะ แต่งไม่ออกด้วย แต่ชอบฟีลเวลาคู่รักเมคเลิฟละคุยกัน มันแบบอิ๊อ๊าาาา //////// ฮอลลล์เขิลลล ว่าแต่นี่เป็นคู่รักกันแล้วเหรอ55555

[Fanfiction] Ryben [Will/Jack]

“ผมเองก็ไม่มีปัญหาหรอก..แต่ว่า อย่างน้อยเล่าปัญหาให้ฟังหน่อยได้มั้ยครับ?”เบต้าหนุ่มวัยย่าง30ถามหัวหน้าแผนกอายุมากกว่าข้างๆซึ่งคนโดนถามก็ดูมีท่าทีไม่อยากจะตอบ ‘แจ็ค ไรอัน’กระแอมอีกครั้งเพื่อเร่งเร้าราวกับไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นหัวหน้าของตัวเองซึ่ง ‘วิลเลียม แอบบอท’จำต้องยอมตอบคำถาม

“ไม่มีอัลฟ่าคนไหนอยากเข้าใกล้เขาเลยน่ะสิ..แทบจะไม่ต้องถามถึงโอเมก้าเลยล่ะ กลัวหัวหดกันหมด..นอกนั้นก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากพอจะสอนงานให้เขา..”ยังไม่ทันจะพูดจบ

“กลิ่นเขาแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ!?”แจ็คถามออกคล้ายจะอยากรู้อยากเห็น วิลเลียมเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ถามฉันไปก็ไม่ได้คำตอบหรอกนะ..”แน่นอนว่าวิลเลียมเองก็เป็นเบต้าเหมือนกันกับแจ็ค

โลกใบนี้ถูกรังสรรค์มาอย่างแปลกประหลาด นอกจากเพศกำเนิดที่เห็นอยู่ภายนอก ภายในนั้นกลับมีอีกเพศหนึ่งที่กำหนดสถานภาพของทุกๆคนเอาไว้เป็น3กลุ่ม อัลฟ่า เบต้า โอเมก้า

อย่างน้อยแจ๊คยังรู้สึกโชคดีที่ตัวเองยังเป็นคนส่วนใหญ่ เขาไม่รับรู้ ไม่ว่าจะกลิ่น สัมผัสหรืออะไรทั้งสิ้นตามแบบเบต้า เขาไม่รับรู้ถึงการแข่งขันหรือการเขม่นมองกันทางสายตาของเหล่าอัลฟ่า ไม่รับรู้ถึงการโดนคุกคามของโอเมก้า เป็นคนที่อยู่ภายนอกสนามแข่งอย่างสิ้นเชิง

“ผมสงสัยอีกอย่างนะวิล..ผมเป็นนักวิเคราะห์ แล้วผมจะช่วยอะไรได้..?”

วิลเลียมเหลือบมองอย่างหน่ายใจ จริงๆเขาไม่อยากยอมรับเหตุผลข้อนี้เท่าไหร่แต่ในเมื่อมันเป็นความจริงก็ต้องบอก

“แค่คอยคุมให้เขาอยู่ในร่องในรอยเท่านั้นล่ะ..เรื่องงานฉันจัดการเอง อย่างน้อยเขาก็เป็นลูกชายของมาร์ติน หมอนั่นคงเอาอยู่..”

แจ็คไม่หือไม่อือกับคำตอบที่ได้รับ

“จะว่าไป..คุณบอกว่าเขาชื่ออะไรนะครับ?”

วิลเลียมขมวดคิ้วอย่างขัดใจ

“วิล ชอว์”

วิล ชอว์เป็นอัลฟ่า ดูจากหน้าตาถมึงทึงเหมือนคนอารมณ์เสียตลอดเวลาก็คงเดาได้ไม่ยาก ตอนนี้เขากำลังอยู่ในขั้นทดลองงานกับCIAแต่ดูท่าแล้วจากสถานการณ์ที่เขาเองก็ประสบมาแทบจะทั้งชีวิตคือ.. วิลเป็นอัลฟ่าที่กลิ่นแรง เขาอธิบายไม่ถูกหรอกว่าคำว่ากลิ่นแรงคืออะไร เพียงแต่เมื่อถามเหล่าคนที่ทำสีหน้าแปลกๆใส่เขาก็มักจะได้คำตอบแบบนี้ออกมา

เขาไม่แปลกใจถ้าโอเมก้าจะไม่อยากเข้าใกล้เขา นั่นเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าแม้แต่อัลฟ่าด้วยกันยังไม่อยากคบค้าด้วยชวนให้คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันนะ

แต่บางอย่างวิลก็ทำตัวเอง ด้วยความที่เป็นคนอารมณ์ร้อนแถมทำหน้าเครียดตลอดเวลาทำให้แม้แต่เบต้าก็ยังไม่อยากเข้าใกล้ เขาแทบจะไร้มิตรไปอย่างสิ้นเชิง

“สวัสดีฉันแจ็ค ไรอัน..เป็น..ฝ่ายวิเคราะห์..”คนตรงหน้าวิลยิ้มแห้งๆให้ระหว่างแนะนำตัวเอง อีกฝ่ายยื่นมือตรงมา วิลเขย่ามือด้วยเล็กน้อยแล้วแนะนำตัวบ้าง

“ผมวิล ชอว์”

พี่เลี้ยงคนนั้นของวิลตัวสูงกว่าเล็กน้อยแต่เพรียวและสมส่วน มีฝ่ามือบางและนิ้วยาวสวย สัมผัสที่ฝ่ามือทิ้งไออุ่นๆเอาไว้ถ้าวิลไม่ได้คิดไปเอง แจ็คพยายามแสดงท่าทางเป็นมิตรที่ดูก็รู้ว่ามันดูฝืนสุดๆจนวิลอดขำไม่ได้

เขายิ้มน้อยๆที่มุมปากพลางมองคนอายุมากกว่า

อีกฝ่ายเมื่อเห็นแบบนั้นก็ดูมีท่าทีผ่อนคลายขึ้น

เป็นความประทับใจแรกเริ่มของทั้งคู่เลยก็ว่าได้

********************************

วิลเป็นคนดี นั่นคือสิ่งที่แจ็ครู้

ถึงจะหุนหันพลันแล่นและอารมณ์ร้าย แต่ก็เป็นคนดี

“ฉันว่าฉันจำได้นะว่าหมอพูดกับนายว่าให้ระวังมือขวาเอาไว้ไม่งั้นมันจะแย่ไปมากกว่านี้..”

แต่นี่..

แจ็คบ่นไปเรื่อยระหว่างลองแหวกผ้ายืดที่หลุดลุ่ยและเริ่มเปื่อยจากความชื้นที่อยู่ในมือของวิล เขาตัดสินใจว่าจะเอามันออกขณะที่เจ้าของดูจะไม่สนใจใยดีและมองไปทางอื่นเป็นเชิงว่าคำพูดนั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาซะอย่างนั้น วิลเพิ่งถูกส่งไปทำภารกิจคู่กันกับนโปเลียน โซโลเป็นครั้งแรก ไม่มีอะไรซับซ้อน จริงๆมันควรจบแบบไม่มีบาดแผลอะไรมากไปกว่ารอยฟกช้ำที่ใบหน้าและลำตัว แต่กลับมีอะไรเกิดขึ้นเล็กน้อยระหว่างพวกเขาทั้งคู่

“เอาออกไปเลยไม่ได้เหรอครับ..”วิลหันมาถาม

“รอให้ถึงกำหนดไม่ทำให้อกแตกตายหรอกน่า”แจ็คตอบ

วิลดูเงียบไปทำให้แจ็คถาม

“แล้วเกิดอะไรขึ้น..เห็นว่าไปได้สวยนี่ เล่าให้ฟังได้มั้ย?”วิลเหลือบมอง อยากจะเดินหนีออกไปแต่ก็ติดที่แขนของเขายังอยู่ในมือคนตรงหน้า ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจแรงๆแล้วยอมแพ้

“นโปเลียน โซโล..มันปากมาก”แจ็คเลิกคิ้วมองแล้วยักไหล่ประมาณว่า อย่างนั้นเหรอ..

“ไม่แปลกใจ หมอนั่นก็ขึ้นชื่อเรื่องนั้นอยู่แล้ว..”แจ็คพูดไปตามเนื้อผ้าหวังให้วิลเล่าต่อไปอย่างลื่นไหลโดยไม่กดดัน ซึ่งวิลก็ขมวดคิ้วจ้องกลับมา

“ผมก็คิดว่าถ้าแค่หูทวนลมไปคงจะดีแต่มันก็พูดมากเกินไป..”

แจ็คช้อนตามอง

“บอกได้มั้ยว่าเขาพูดอะไร..?”

วิลเงียบเป็นคำตอบทำให้แจ็คตกลงใจว่าจะไม่ถามต่อ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องพูดก็ได้..”

เมื่อเห็นแบบนั้นวิลจึงรีบตอบออกไปอย่างขึงขัง

“มันถามว่าได้คุณรึยัง?”

“ห้ะ..?”แจ็คหรี่ตามองเหมือนไม่เชื่อว่าเมื่อกี้ได้ยินอะไรซึ่งวิลก็หันหน้าหลบไปอีกครั้ง

“มัน..มันพูดว่า อย่างผมคุณคงยอม ถึงแม้คุณจะไม่ใช่โอเมก้า..อะไรประมาณนั้น”แจ็คไม่พูดอะไรกับสิ่งที่วิลตอบ เขาพันผ้าในมือวิลเงียบๆจนบรรยากาศคล้ายจะอึดอัดสำหรับวิล เมื่อเสร็จธุระแจ็คยืนขึ้นและยังไม่พูดอะไร ทำให้วิลรู้สึกว่าตัวเองต้องพูดอะไรแต่ยังไม่ทันจะเปล่งเสียงออกจากลำคอสัมผัสหนักๆจากฝ่ามือของแจ็คก็ถาเข้ามาเต็มกระหม่อม

วิลประหลาดใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรเมื่อแจ็คพ่นประโยคชมเชยแปลกๆออกมา

“นายนี่เป็นเด็กดีจังนะ..”

เขาเงยหน้ามองเจ้าของฝ่ามือที่ส่งยิ้มมาพร้อมๆกับมือที่ยังวนๆอยู่กับศีรษะของเขา ขยำขยี้ผมหยักศกสั้นๆอย่างอารมณ์ดี และแจ็คยังพูดต่ออีกว่า

“เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องโซโลเอง..รอบนี้เขาคงเจ็บกว่าโดนนายต่อย”วิลไม่สนใจว่าแจ็คจะจัดการไอ้คนนั้นยังไง เขาสนใจแต่แค่ว่าหน้าของเขาเริ่มร้อนผ่าวเมื่อยิ้มจากปากบางๆนั้นเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆแต่แจ็คมองมันไม่ออกหรอก คนที่ยืนอยู่ผละมือจากหัวทุยๆนั้นแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและทำท่าว่าจะเดินไปหาที่คุยข้างนอก ก่อนไปเขาหันมาบอกวิลว่า

“เดี๋ยวจะนัดหมอให้อีกทีนะ ระหว่างนี้ก็ระวังด้วย!”เสียงเหมือนออกคำสั่งทำให้วิลยอมพยักหน้าแบบขอไปทีและได้แต่มองส่งยามที่แจ็คเดินออกไปคุยโทรศัพท์ เขามองผ้ายืดที่พันมือก่อนจะรู้สึกตัวว่าใจเต้นผิดจังหวะ

หวา..

แจ็คกดโทรศัพท์และแนบเข้ากับใบหู ไม่นานปลายสายก็ส่งเสียงออกมา

‘เมนเดซพูดครับ..’

“ผมแจ็คเอง..มีเรื่องจะขอร้องนิดหน่อย”

‘หืม..?’

.
.
.

‘เดี๋ยวผมจัดการให้เอง..คงจะหายปากดีไปซักระยะ’แจ็คหัวเราะ

“ขอบคุณครับ..รบกวนคุณแย่เลย”

‘ไม่มาก..แต่ว่านะ.. ผมเองก็อยากถามอะไรอย่าง’แจ็คส่งเสียงหืมในลำคอก่อนอีกฝ่ายจะพูดต่อ

‘ทำไมพักหลังๆทุกคนโทรมาหาผมเรื่องโซโลแทนที่จะโทรหาอเล็กซ์?’แจ็คหลุดขำพรึ่ดและรีบตอบส่งๆไป

“เอ่อ..อัตราการรับโทรศัพท์ของคุณถ้าเทียบกับคุณวาเวอร์ลีแล้ว คุณรับบ่อยกว่าครับ..”แน่นอนนั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ถึงจะเป็นความจริงแต่ก็ไม่ใช่

‘งั้นแปลว่าถ้าผมลดความรับผิดชอบลงทุกคนจะเลิกโทรหาผมใช่มั้ย..?’แจ็คอ้ำอึ้งและใช้เวลาคิดนานกว่าจะตอบ

“เอ่อ..เป็นว่าเดี๋ยวผมจะบอกทุกคนเองว่าให้เลิกโทรหาคุณ โอเคมั้ย?”

‘ก็ดีครับ..ฝากด้วยแล้วกัน อ่า..อีกเรื่องนึง’

“ครับ..?”แจ็คขมวดคิ้ว

‘เด็กคุณดูเป็นคนดีนะ..’

“ใช่..ผมก็ว่างั้น”

******************************

[Review] Justice League ดูแล้วชวนคุยพร้อมสปอย

Justice-League-Review.jpg

ผ่านกันไปซักพักของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ฝั่งDCที่ซึ่งถึงเป็นกองอวยแต่ก็ต้องยอมรับว่าผลตอบรับไม่ค่อยจะดีมาก หลายปัจจัยเอื้อกับการล่มสลายของจักรวาลแบบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นการตลาดที่ทุกคนพากันสันนิษฐานว่าเพราะฉายเดือนเดียวกันกับหนังเดี่ยวเทพเจ้าสายฟ้า หรือผลตอบรับตั้งแต่หนังเรื่องเก่าอย่างBatmanVSuperman

แต่ในฐานะคนดูหนังคนนึงก็มีสิ่งนึงที่เป็นกำลังใจคือ หนังดีควรมีข้อถกเถียง

และครั้งนี้ก็มีข้อถกเถียงกันเหมือนเดิม..ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีนะ

บางคนอ่านมาถึงตอนนี้ก็อกสั่นอยากจะบอกคนเขียนบล็อกว่าเฮ้ย!!มันไม่ใช่ข้อถกเถียงแบบนั้น เออน่า!!

เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ บล็อกนี้สำหรับคนดูแล้วชอบและอยากจะหาคนคุยแล้วกัน โอเค๊..?

อาจจะชมไปด้วยติไปด้วยก็.. อย่าถือสาแล้วกันนะ…

 

หนังเปิดด้วยคลิปของ2เด็กน้อย พวกเขาถามซุปเปอร์แมนว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดในโลก..ซุปเปอร์แมนเกือบจะตอบเรา ภาพตัดไป เล่นเพลงเปิดที่ตอนนี้สงสัยว่าจะติดหูใครหลายๆคนไปแล้วพร้อมภาพประกอบสำหรับการบิ๊วอารมณ์ผู้ชม ทำได้ดี เรารู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าและปัญหาที่หยั่งรากหลังจากซุปเปอร์แมนตายไป งานภาพจัดว่าเป็นระดับผลงานชิ้นเอกซึ่งถูกการันตีมาแล้วว่าเป็นผลงาน มุมมองและวิสัยทัศของผู้กำกับเก่าผู้เปิดจักรวาลอย่างแซ็ค สไนเดอร์

ต่อด้วยฉากโจรกับแบทแมนบนดาดฟ้าตึก ฉากที่เราจะรู้ว่าแบทแมนรู้อะไรบ้าง ฉากมีจุดพลาดหลายจุดแต่ถ้าไม่จ้องจับผิดก็อาจจะไม่รู้สึกขัดใจอะไรมาก ในความเป็นแบทแมนถือว่าเขาเพรียวและดูคล่องแคล่วขึ้นมากจากรอบก่อน ไม่รู้ว่ารอบก่อนตั้งใจจะเน้นอะไรในตัวแบทแมน.. น่าจะเป็นความน่ากลัวเขาเลยดู ตัวใหญ่ไปหน่อย แต่สำหรับรอบนี้เขาได้โชว์ลักษณะการต่อสู้และการปรากฏตัวของเขาในอีกมุมแล้ว สำหรับฉากนี้ถูกบอกว่าเป็นฉากที่ถูกคุมโดยผู้กำกับคนใหม่วีดอน ไม่แน่ใจว่าเขาตั้งใจจะปรับภาพลักษณ์ของแบทแมนอยู่หรือเปล่า

ฉากธนาคาร เป็นฉากเด่นสำหรับแม่ วันเดอร์วูแมน สำหรับเจ้าของบล็อกแล้วถือว่าผิดหวังแต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นความจริงรึเปล่าสำหรับข้อมูลที่ได้รับมาคือ หลายคนบอกว่าฉากนี้เป็นฉากที่ตอกย้ำว่าโลกกำลังวุ่นวายเมื่อขาดซึ่งซุปเปอร์แมน ในความเห็นของเราฝั่งคนดูรู้สึกเพียงว่าฉากนี้เป็นฉากที่มาเพื่อให้แม่ได้โชว์ของ ได้โชว์เพลงประจำตัว ได้แสดงพลังให้หายคิดถึงจากหนังเดี่ยวที่เพิ่งประสบความสำเร็จไป ไม่ได้หมายความว่าหนังเดี่ยวประสบความสำเร็จจึงมีฉากนี้นะอย่าเข้าใจผิด ฉากนี้โผล่เข้ามาตั้งแต่ตัวอย่างตอนโปรโมทหนังเดี่ยวและเราได้รู้ว่ามันเข้ามาอยู่ในเรื่องนี้แทน ฉากนี้เป็นฉากที่ลือกันหนาหูว่าจริงๆแล้วเกิดระเบิด ซึ่งถ้ามันเป็นความจริงนั่นจะเป็นเรื่องดีกว่า เพื่อตอกย้ำเราว่าแม้แต่แม่ก็ได้ไม่ได้เท่าซุปเปอร์แมน แต่เมื่อแม่ช่วยทุกคนได้แล้ว จริงๆเราจะต้องการซุปเปอร์แมนไปทำไมล่ะ..พูดในมุมที่ไม่มีเรื่องสเตปเพนวูฟฟ์มาเกี่ยวนะ หรืออีกนัยคือแม่ไม่ใช่ซุปเปอร์แมน เธออาจไม่ใช่คนที่พร้อมจะหยิบชุดขึ้นมาช่วยเราจากเหล่าร้ายแทบทุกวินาทีแบบซุปเปอร์แมน แต่นั่นก็ไม่มีข้อพิสูจน์..ก็เธอมาช่วยแล้ว ดังนั้นย้อนกลับไปที่คำถามแรก ถ้าไม่มีเรื่องสเตปเพนวูฟฟ์เราจะต้องการซุปเปอร์แมนไปทำไม? เก็บคำถามนี้ไว้ก่อน

ฉากการเจรจาของบรูซและอาเธอร์ที่หมู่บ้านชาวประมง ฉากนี้เป็นฉากที่น่าเสียดายเมื่อมันถูกถ่ายใหม่ ไม่ว่าจะลุคของเบน แอฟเฟล็คขวัญใจของเจ้าของบล็อกที่..ดูกลมและทำให้พอไว้หนวดเคราจะดูฟู ฉากถ่ายซ่อมนี้ทำให้เราคล้ายกับจะเสียบรูซของแซ็คไป  เจ้าของบล็อกเองก็เขียนรีวิวนี้ขึ้นมาโดยยังโหยหาแซ็คน่ะนะอย่ารำคาญเลยถือว่าขอ.. บทพูดที่ทั้ง2คนคุยกันทำให้เราได้รับรู้ตัวตนของอาเธอร์แล้วในบางส่วน เหตุผลหนึ่งที่เขาปฏิเสธบรูซในครั้งนั้นเพราะปัญหาเก่าในใจเขาที่ยังคาราคาซังคือเรื่องของชาติกำเนิด หน้าที่ ความรับผิดชอบและอะไรต่อมิอะไร หลังจากโดนปฏิเสธ บรูซกลับมาตั้งหลักกับอัลเฟรด บทพูดมีส่วนหนึ่งที่เขาถามถึงไดอาน่า อัลเฟรดหยอดเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้แสดงว่าคู่นี้คงแน่นอนแล้ว.. และมีอีสเตอร์นิดหน่อยเกี่ยวกับเพนกวินไขลาน

นอกนั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มีสิ่งหนึ่งที่หนังทำคือปูทางสู่หนังเดี่ยวของแต่ละคน อาเธอร์กับบทสนทนากับเมร่าที่กำกวม แฟลชกับปูมหลังเรื่องพ่อ และปัญหาของวิคเตอร์กับพ่อ

ฉากที่ไม่พูดไม่ได้คือฉากที่หลังจากเราได้มาเธอร์บ็อกซ์ของฝั่งมนุษย์และเมื่อบรูซรู้ว่ามันทำอะไรได้ เขาก็ดูไม่ค่อยจะรีรอ ฉากการทะเลาะกันกับไดอาน่าที่จี้แผลเก่าใส่กัน(ซึ่งในตอนหลังแล้วการทะเลาะนี้ก็เป็นการทะเลาะที่มีเหตุผล) ฉากนี้เป็นฉากที่เราสัมผัสได้ว่าบรูซหมกมุ่นเรื่องคลาร์กมาก่อนแล้วไม่ใช่เพราะเรื่องสเตปเพนวูฟฟ์ ซึ่งนั่นทำให้เจ้าของบล็อกรู้สึกว่าต้องย้อนกลับไปคำถามที่ว่า จริงๆเราต้องการซุปเปอร์แมนเหรอ? นั่นอาจเป็นจุดบกพร่องใหญ่ที่สุดของหนังที่หาได้ หนังไม่หนักแน่นในความสิ้นหวัง เราเสียใจก็จริง แต่เราโหยหาเขามั้ย? เพลงเปิดในตอนต้นบิ๊วเราได้แต่เพียงความเสียใจที่ซุปเปอร์แมนตายไป(ถึงในด้านความหมายมันจะมีอะไรมากมาย) แต่ไม่ได้ตอกย้ำว่าเราขาดเขาไม่ได้ แต่อาจจะมีอะไรมากกว่านั้นถ้าอิงจากฉากที่ไดอาน่าและบรูซคุยกันที่ริมแม่น้ำ เพราะบรูซดูไม่มั่นใจในตัวมนุษย์ เขาพูดหลายอย่าง ทั้งจิกกัดในเรื่องวันสิ้นโลก และย้ำว่าไม่เชื่อใจ

แต่ทั้งหมดทั้งมวล หนังนี้ถือว่าไม่แย่ ไม่ได้แย่เพียงแค่ทุกคนคาดหวังเกินไป ไม่ได้จะโทษนะแต่มันเห็นได้ชัดและเราเองก็มั่นใจในความคิดนี้ อาจจะเพราะแซ็คใส่อะไรไว้มากในรอบที่แล้วเลยคิดว่ารอบนี้จะมีอะไรมากเหมือนเคย

อยากจะพูดเป็นรายคน..

วันเดอร์วูแมน; บทของแม่บอกตัวตนของแม่ ทำให้ดูออกว่าเธอยังไม่สูญเสียความไร้เดียงสาเก่าๆไป เธอเอ็นดูบรูซ เห็นใจบรูซและเธอกำลังมองเขาในฐานะผู้ชายคนนึงแล้ว ในรอบก่อนอย่างBvSแม้ว่าการพบกันของทั้งคู่จะมีความโรแมนซ์อยู่แต่ก็เห็นได้ว่าไดอาน่าไม่มองบรูซว่าพิเศษเลยถ้าไม่ได้รู้จักในฐานะแบทแมน

ดิ อควาแมน; ปูทางสู่หนังเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งคำจิกกัดจากเมร่านางเอกของเจ้าตัว และปูมหลังที่ปล่อยจากบทสนทนาที่กำกวมไม่ว่าจะเป็นเรื่องแม่ที่เป็นราชินี ความสัมพันธ์กับหมู่บ้านชาวประมง (ตื่นเต้นๆ)

เดอะแฟลช; ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นขวัญใจของขาจรที่แวะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้โดยไม่ใช่แฟนเดนตาย แบร์รี่เป็นตัวละครที่เข้าถึงเด็กๆ คาร์แรคเตอร์ชัดเจน ทำลายบรรยากาศได้และกำลังเติบโตผ่านหนังเรื่องนี้ สำหรับหนังเดี่ยวแฟลชจะไม่ได้ถูกปูอย่างชัดเจน(ดูก็รู้ว่าWBอยากเห็นผลตอบรับของหนังเรื่องนี้ก่อน)เอ่ยถึงปัญหาของแบร์รี่ก็จริงแต่เรายังไม่ได้เห็นว่าเขาทำอะไรเกี่ยวกับคนร้ายที่ฆ่าแม่เขา เรายังไม่ได้เห็นอะไรมาก..

ไซบอร์ก; วี๊ดดดดดดบึ้ม ม้ามืดที่บอกเลยว่าติดบ่วงเรย์ ฟิชเชอร์จากบทนี้ น่าชื่นชมJLที่ประสบความสำเร็จในการเกลี่ยบทได้พอดีพอเหมาะ ขับสเน่ห์ให้กับทุกตัวละคร วิคเตอร์เป็นตัวละครที่มีปัญหาในการ ‘ปรับตัว’ ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการตื่นมาไม่เหมือนเดิมในทุกๆเช้าอีกทั้งยังมีท่าทางว่าร่างกายนี้จะเปลี่ยนไปมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆตอนโปรโมทต้องยอมรับว่าสปอร์ตไลท์ยังไม่ส่องไปทางวิคเตอร์มากนัก แต่เมื่อดูหนังแล้วบทวิคเตอร์ยืนอยู่ในระดับเดียวกับทุกคนในทีมไม่ใช่เพียงแค่ตัวละครสมทบ เป็นเรื่องดีสุดๆ

แบทแมน; เราได้รู้จักตัวตนของเขาแทบจะหมดเปลือกแล้วในBvSดังนั้นในครั้งนี้เขาเป็นเพียงหัวขบวนในการทำภารกิจ เขาเกือบเป็นหัวหน้าแต่จากการกระทำแล้วเขากำลังหาหัวหน้ามากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการตัดพ้อว่าซุปเปอร์แมนหาทีมได้ดีกว่า ไดอาน่านำทีมได้ดีกว่า เขาถือว่าตัวเองไม่ได้ดีเท่าทั้งคู่ เขาถือว่าตัวเองเป็นหมากที่สามารถใช้แล้วทิ้งได้ ชีวิตเขาไม่ได้สำคัญ ดังนั้นหลังจากซุปเปอร์แมนกลับมามันง่ายที่เขาจะทิ้งชีวิตไป

ซุปเปอร์แมน; จักรวาลDCEUเปิดมาเรื่องแรกด้วยMoSที่มาของซุปเปอร์แมน ต่อด้วยBvSความเคลือบแคลงสงสัยที่ผู้คนมีต่อเขาและเขามีต่อผู้คน ครั้งนี้ถือว่าเป็นบทสรุปของการเดินทาง คลาร์กหาคำตอบและจุดยืนให้ตัวเองได้แล้ว เขาสามารถใช้พลังได้อย่างไม่มีความกังขาต่อตัวเอง เขาปลดแอกตัวเองจากความไม่มั่นใจ คนเก่าตายไป สิ่งที่ตายไปกับเขาคือความไม่มั่นใจ ครั้งนี้จึงเป็นการส่งไม้ต่อว่าเขาไม่ใช่ตัวเอกแล้วแต่เป็นทุกคน ถึงแม้ว่าความเป็นทีมจะยังไม่แนบแน่นกับคลาร์กแต่สายตาที่ทุกคนในทีมมองเมื่อเขาโผล่มา คลาร์กพร้อมที่จะนำทีมแล้ว…

 

สุดท้ายนี้ JLอาจยังดีไม่สุด มีจุดบกพร่องและปัญหาภายในมากมาย แต่ความรู้สึกอบอุ่นหลังจากติดตามดูความเป็นไปของจักรวาลเป็นของจริง มันไม่ได้แย่ถึงขนาดต้องเบือนหน้าหนี มันไม่ใช่ขยะเหมือนที่รีวิวหลายๆท่านตอกย้ำ มันเป็นความหวัง ความหวังเล็กๆที่จะได้เห็นจักรวาลเติบโตไปเรื่อยๆจนถึงวันที่จะมีตัวละครใหม่ๆเข้ามาสมทบ สำหรับการตีความและทฤษฎีหลายๆอย่างบางทีเราอาจเข้าไม่ถึงและไม่ละเอียดอ่อนมากพอ สามารถคอมเม้นเพื่อชวนคุยได้ทั้งทางนี้หรือทางทวิตเตอร์นะคะ หรือใครจะทักเฟซบุ๊คก็ได้ค่ะ5555555

[Fanfiction] Aqua(Sup)bat [Arthur Curry(Clark kent)/Bruce wayne] Annoying

“ก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ..แต่พวกเขาอยู่แบบนั้นมาหลายวันแล้ว”
‘อาเธอร์ เคอร์รี่’หรือดิ อควาแมนโพล่งขึ้นลอยๆเรียกความสนใจจากคนสามคนที่หมกมุ่นแต่ในเรื่องของตัวเองให้โงหัวขึ้นมาสนใจเขา

“แบบไหน..?”ไดอาน่ายืดตัวออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อถามและสบตากับอาเธอร์

“แบบ..บรูซก็เอาแต่ทำงานในห้องเปิด แถมซุปเปอร์แมนก็ชอบมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทักทายพวกเรานิดหน่อย แล้วก็เดินเข้าไปหมกตัวกับบรูซทั้งวัน สงสัยว่าถ้าโลกนี้ไม่มีใครเดือดร้อนเขาคงจะไม่ออกจากห้องนั้นไปตลอดชีวิตเลยล่ะมั้ง..”

จริงๆคำพูดนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย..

“ว่าแต่..นี่เราเป็นทีมเดียวกันแล้วใช่มั้ย? กับซุปเปอร์แมน”อาเธอร์กอดอกและสบตากับไดอาน่าตอบ

“อืม..ฉันคิดว่า.. คิดว่าคงเป็นอย่างนั้น”น้ำเสียงไดอาน่าดูไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบตัวเองนัก ซึ่งอาเธอร์เองก็มีสีหน้าตอบกลับประมาณว่า มีคำตอบอื่นมั้ย..?

“เขาถนัดฉายเดี่ยว..”

“เออ..ดูก็รู้”

“โอ้..โอ้..แต่ผมชอบเขานะ”แบร์รี่กล่าวแทรกขึ้นมาในวงสนทนาพร้อมกับรอยยิ้มเด๋อด๋ามองดูขัดลูกตา

“เขาดู..สุขุม อืม..ดูเท่ และเขาหล่อด้วยนี่ ใช่มั้ยเพื่อน!!”แบร์รี่กระแทกไหล่ของตัวเองกับหลังของวิคเตอร์เชิงขอความเห็น ซึ่งจริงๆมันทำให้เขาเจ็บมากกว่าจะสำราญ วิคเตอร์กวาดตามองพวกเขานิ่งๆก่อนจะให้ความเห็นของตัวเองบ้าง

“พวกคุณดูไม่ออกจริงๆเหรอ พวกเขาทั้งคู่ดูมีอะไรต่อกัน..?”พร้อมกันนั้นวิคเตอร์ก็หันขวับมาทางไดอาน่าและยักคิ้วให้ แบบ ผมรู้ว่าคุณรู้

“อย่าหวังอะไรจากฉันเลย..พวกเขารู้จักกันก่อนจะรู้จักฉันซะอีก”ไดอาน่าหลบเลี่ยงการตอบคำถาม

“ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ ที่รัสเซียหมอนั่นอารมณ์ดีตลอดทางขากลับเลยนี่.. แถมตอนซุปเปอร์แมนโผล่มาก็..เขาเรียกว่าอะไรนะ หน้าบานรึเปล่า?”อาเธอร์ยักไหล่

“โอเค..ผมจะถือว่าไม่ได้ยินอะไรเลยหลังจากประโยคที่ว่าเราเป็นทีมเดียวกัน”แบร์รี่รีบหันหลังกลับไปสนใจชุดของเขาต่อและพยายามทำเหมือนบทสนทนาก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น

“โอ้..เกิดเรื่องที่ธนาคารอีกแล้ว ฉันไปดีกว่า ไม่อยากให้คาเอลได้ยินเสียงสัญญาณก่อนฉัน ฉันคิดว่าเขาคงอยากจะอยู่ที่นี่ก่อน และ..วิคเตอร์ ฝากอยู่เป็นเพื่อนเจ้าชายเงือกน้อยเธอด้วยล่ะ เดี๋ยวเขาฟุ้งซ่าน”ไดอาน่าพูดติดตลกและเดินออกจากถ้ำค้างคาวที่ครึกครื้นไป

วิคเตอร์มองตามไดอาน่าซักพักแล้วหันมาหาหนุ่มทะเลที่นั่งจ๋องไม่มีอะไรทำ เขากล่าว

“ได้ยินที่เธอพูดแล้วนี่..อย่าฟุ้งซ่าน”

“ทำไมพวกนายถึงคิดว่าฉันฟุ้งซ่าน”อาเธอร์ขมวดคิ้ว

“อืม..ถ้าคุณดูความสัมพันธ์เขาทั้งคู่ออก ทำไมพวกเราจะดูคุณไม่ออกกัน”วิคเตอร์ตอบพร้อมๆกับมือจักรกลที่ไม่หยุดนิ่ง

“ฉันคิดว่าฉันเกือบจะเข้าใจประโยคตะกี้นะ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเข้าใจ..”อาเธอร์หันตัวเขาทั้งตัวและเดินมายืนหยุดที่โต๊ะยาว ตรงข้ามกับวิคเตอร์

“ก็ดีแล้วนี่..ไม่รู้น่ะดีแล้ว”

“กวนโมโหชะมัด”อาเธอร์นึกอยากจะใช้เท้าถีบขาโต๊ะให้ล้มกระจาย ติดก็แต่ว่าไม่อยากให้บรูซเดินออกมาจากห้องที่หมกตัวกับซุปเปอร์แมนพร้อมคำว่าอย่าพังของ

“จะว่าไปคุณบอกว่าคุณโสดนี่..”จู่ๆแบร์รี่ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆอาเธอร์แบบชั่วพริบตา ซึ่งคนที่ยังไม่ชินเห็นจะมีแค่อาเธอร์คนเดียวนี่แหละ

“ฉันบอกให้นายลืมๆมันไปซะ..”

“เหรอ ผมคิดว่าผมได้ยินแค่คำว่าถ้าเอาไปบอกใครต่อ..ซะอีก”แบร์รี่ยักไหล่ล้วงกระเป๋าและปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับของกินในมือที่อัลเฟรดคงจะเตรียมเอาไว้

“มันก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่นี่..”อาเธอร์หัวเสีย แต่ไม่รู้ว่าหัวเสียกับความลับของตัวเองที่ถูกรีรันหรือท่าทางยียวนของแบร์รี่กันแน่

“เถอะน่า.. อย่างน้อยคุณคงไม่คิดใช่มั้ยว่าการจะปลุกใครซักคนขึ้นจากความตาย มันไม่ใช่แค่เราจะใช้งานเขา โลกต้องเขา คุณเห็นแล้วนี่ เขาดึงดันแค่ไหน ลำบากจะตายถ้าต้องแข่งเรื่องคนรักกับซุปเปอร์แมน..ทำใจเถอะ”แบร์รี่เอ่ยพล่ามไม่หยุด ไม่สนใจว่าตอนนี้ดวงตาสีอ่อนกำลังจ้องมองเขาและอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ

“เฮอะ!!”อาเธอร์กระแทกตัวลงกับโซฟาแรงๆ ใจนึกอยากจะปฏิเสธสิ่งที่หนุ่มความเร็วพูดแต่ปากก็ไม่ขยับ นั่นสิ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบโต้อะไรออกไปดี จึงได้แต่นั่งขมวดคิ้วแผ่รังสีความอารมณ์ไม่ดีของตัวเอง

“เท่าที่คำนวณ ผมเองก็คิดว่าแทบไม่มีเปอร์เซ็นต์ที่คุณจะชนะซุปเปอร์แมนได้เลย เว้นเปอร์เซ็นต์นึงคือ..เขาตายอีกรอบ”วิคเตอร์กล่าวต่อแบบมาราธอน ซึ่งนั่นทำให้อีกสองคนที่เหลือหันมองวิคเตอร์แทบจะทันที

“อะไร..?”

“ก็แหม..นายพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ไง เดี๋ยวเขาก็ฆ่านายหรอก”แบร์รี่สั่นวาบขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง “ไม่ใช่ว่าถ้าเขาหันมาฆ่านาย ฉันจะไม่ช่วยนายนะ แต่ให้ตายเถอะ ภาพวันนั้นยังติดตาอยู่เลย เขามันกลับมาจากป่าช้าจริงๆ”

“หึ..”อาเธอร์ลุกขึ้นจากโซฟาหลังแบร์รี่ทิ้งตัวลงนั่งไม่กี่วินาที

“นั่นคุณจะไปไหนน่ะ..?”แบร์รี่เอ่ยถามทั้งของกินเต็มปาก

“ก็..ไปดูอะไรหน่อย”

แว้บเดียวแบร์รี่ก็ปรากฏตัวเพื่อขวางทาง

“ไม่เอาน่า คุณจะไม่ทำอย่างที่ผมคิด คือ..ถ้าคุณไม่ชอบที่ตัวเองโสดเดี๋ยวเราไปเดทกันมั้ย เรา3คนเลย..”

“นั่นเรียกเดทเหรอ..?”วิคเตอร์ถามแทรก

“นั่นล่ะเดท..”แบร์รี่หันกลับมา “ถึงผมจะไม่ชอบใจนักที่พวกเขาทำตัวเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามัน แต่คุณจะไม่เข้าไป..เป็นกขค อะไรเทือกนั้น..ใช่มั้ย?”

“…”อาเธอร์ไม่ตอบ เขาแค่ขมวดคิ้วหนักขึ้นซึ่ง80เปอร์เซ็นต์ความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้นของเขามันถูกบังด้วยเหล่าหนวดเคราครึ้มหนาทำให้มองๆไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ต่างจากทุกทีหรอก

“หึ..”แล้วอาเธอร์เดินหายออกไป แบร์รี่หันกลับมาทางวิคเตอร์เหมือนจะขอความเห็นหรืออะไรที่ควรทำ แต่วิคเตอร์เองก็ไม่ได้สบตาหรอก เขาไม่มีอะไรอยากจะพูดนี่

.
.
.

“เลิกทำหน้าแบบนั้นซักทีได้มั้ย..?”

ชายวัยกลางคนในชุดผ้าคลุมสีดำเอ่ยทักเมื่อหันมากี่ทีก็มองเห็นแต่เอเลี่ยนกำลังจ้องมองด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

“แบบไหนล่ะ..?”

ยัง..ยัง..ยังไม่หยุดอีก

“ลองสตาฟหน้าตัวเองแล้วไปส่องกระจกสิ..”

“อ่า..ผมเดาว่าคุณกำลังประหม่าและกำลังเปลี่ยนเรื่อง..”

“หยุดเดา”

“โอเค๊..”เอเลี่ยนยอมแพ้

[Fanfiction] Aqua(Sup)bat [Arthur Curry(Clark kent)/Bruce wayne] Ignorant

“เจ้าลืมเขาได้อย่างไรกัน..?”

ลูกแก้วสีน้ำตาลหันเหลือบไปตามเจ้าของคำถาม บรูซยกยิ้มคล้ายจะเยาะขึ้นหน่อยหนึ่ง พร้อมกันนั้นอาเธอร์กลับรู้สึกได้ว่าแรงบีบมือที่บีบตอบกลับเขานั้นแน่นขึ้นเป็นจังหวะ..จังหวะที่ไม่มั่นคงของเจ้าตัว

บรูซยังไม่ตอบซึ่งทำให้อาเธอร์อดใจร้อนไม่อยู่ทายออกไป

“หรือจริงๆเจ้าไม่ได้ลืมเขา..”

บรูซเสมองออกไปอีกทางที่ไม่มีอะไรน่ามองนัก อาเธอร์ดูออกว่าบรูซกำลังคิดอย่างอื่น แต่ก่อนจะอ้าปากพูดอะไรทำลายบรรยากาศบรูซก็ชิงพูดออกมาก่อน

“ถ้าฉันกำลังจะตอบว่างั้นล่ะ..”

อาเธอร์พ่นลมหายใจออกมาน้อยๆคล้ายจะล้อเลียนเพื่อปัดความรู้สึกที่ก่อตัวอยู่ในใจ เขารวบประคองฝ่ามือของบรูซด้วยมือทั้งสองข้างของตัวเองแล้วกล่าว

“ข้าไม่ใช่คนที่จะมานั่งใส่ใจเรื่องหยุมหยิม..”

เขาจูบไปที่นิ้วมือเรียวสวยนั้นเบาๆซึ่งมันทำให้บรูซอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูและใช้นิ้วมือนั้นลูบเบาๆไปตามหนวดเครายาวนุ่มลื่น

อาเธอร์คิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่เขาจะรับความรู้สึกที่เก็บตกและถูกกลั่นกรองมาจากเขาคนนั้นของบรูซผู้ซึ่งอาเธอร์เคยได้ยินเพียงแค่ชื่อเท่านั้น

ถึงแม้ว่าการมีความสุขจากการตายของคนๆนึงจะทำให้อาเธอร์แอบรู้สึกผิดในใจ แต่เขาก็เบือนหน้าหนีความสุขพวกนี้ไปไม่ได้ เขาถอนตัวจากความสุขนี้ไม่ได้…


เพราะงั้นเขาเลยไม่เคยคิดเลยว่าความสุขนั้นจะมีวันจบลง

เพราะเท่าที่เขารู้คือ..


มันไม่มีวันเป็นจริงได้

คนตายไม่มีวันฟื้นกลับคืนมาได้
อาเธอร์คิดเช่นนั้น

คิดมาโดยตลอด..


แต่ดวงตาสีน้ำตาลประกายยามที่จ้องมองบุคคลตรงหน้านั้นกำลังตอกย้ำอาเธอร์ราวกับเอาหมุดตอกลงหัวใจแดร็กคูล่าก็มิปาน แม้สารจะไม่ได้ส่งตรงมาสู่อาเธอร์แต่เขารับรู้ได้


นั่นของจริง..


เขารู้สึกเจ็บปวดที่ตอนนี้ไม่ได้ถูกสายตานั้นมอง รู้สึกแย่ที่ตอนนี้ไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้าง

เจ็บปวดที่สุดยามที่บรูซถูกพระเจ้านั่นแย่งชิงความสนใจไป..

[Fanfiction] (AU)Ryben [Theseus/Bartleby] Dream (Past 1)

แดดเที่ยงกำลังส่องลงมาตรงดิ่งจนแทบไม่เห็นเงาตัวเอง เธเซอุสช่างหินได้แต่เดินจ้ำไปเรื่อยๆเพื่อไปที่แหล่งน้ำ ความแห้งผากของอากาศทำให้ไม่สามารถมองเห็นรอยเท้าจากผืนดินลูกรังได้ อีกทั้งลมบ้าหมูยังพัดพาฝุ่นควันจนจับตัวกันเป็นวงกลมทำให้ผมสั้นหยักศกของชายหนุ่มที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬถูกเกาะจับเป็นก้อนแข็งเอาจนได้

ถึงแม้เจ้าตัวดูจะไม่ใส่ใจในสิ่งรอบๆเลยก็ตามแต่กายหยาบของเขากำลังเริ่มต่อต้านความเหนื่อยล้าแบบมาราธอนนี้

ในที่สุดเขาก็นั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่และใช้หลังมือปาดเหงื่อที่คล้อยลงมาแรงๆพลางคิดว่าตัวเองจำเป็นต้องพักซักงีบ

โครกกก..

และคงต้องหาอะไรกินอีกด้วย

พอคิดได้แบบนั้นหูก็พลันจับเอาเสียงพรึ่บพรั่บ มันฟังดูเป็นเสียงตีปีก นก?? คิดแล้วร่างกายก็เอาชนะความเหนื่อยล้าผุดลุกขึ้นเดินตามเสียงไป แต่น่าแปลก เสียงนั้นฟังคล้ายกับอยู่ไม่ไกลแต่ยิ่งเดินก็กลายเป็นว่าเผลอเดินเข้าป่าลึกมาซะแล้ว ยิ่งแปลกไปอีกคืออากาศร้อนที่สัมผัสเมื่อชั่วครู่ดูราวกับเป็นเรื่องโกหก เธเซอุสได้กลิ่นความชุ่มชื้น ในใจเขารำพึงว่าถึงจะชวดนกน้อยที่จะเป็นอาหารเย็นแต่ถ้าได้น้ำก็พอทดแทนกันได้ เขาเดินต่อไปเรื่อยๆจนเจอเข้ากับลำธาร น้ำใสๆสายเล็กเคลื่อนผ่านโขดหิน เธเซอุสจึงขว้างอาหารเย็นในหัวย่ำเดินลงน้ำไป มือแข็งด้านวักน้ำขึ้นดื่ม เขาปลดผ้าคลุมและกางเกงมอซอที่ปกปิดเนื้อตัวออก วางหอกและธนูลงกองกับเสื้อผ้า ใช้เวลาสักครู่ ในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าตัวเองสะอาด

หลังจากจัดแจงก่อกองไฟเพื่อตากเสื้อผ้า เธเซอุสผูกผ้าที่เอวง่ายๆคว้าหอกไว้กับตัวและเดินไปตามลำธารเผื่อจะเจอเข้ากับฝูงปลา

เมื่อเดินย้อนกระแสน้ำไปเรื่อยๆเขาได้ยินเสียงตีปีกอีกครั้ง เขาเดินเข้าใกล้เสียงนั้นอีกครั้งและคราวนี้เสียงนั้นดูใกล้กว่าเดิมมาก มากพอจะทำให้ชายหนุ่มพอใจว่าตนมาถูกทางแล้ว เธเซอุสกระชับหอกในมือแน่น

เสียงดังแบบนั้นเดาว่าเป็นพญาอินทรี

หลังโขดหินนั่นมีนกตัวใหญ่..

เธเซอุสกลั้นใจรอจังหวะแล้วโผล่พรวดออกไป

.

.

.

ให้ดิ้นตายเถอะ

นั่นนางฟ้าใช่มั้ย

เธเซอุสไม่เคยเจอนางฟ้า รู้แค่พวกเธอมีปีกเท่านั้นซึ่งแตกต่างจากพวกเทพเจ้าที่มีลำแสงรอบๆตัวแบบที่เขาเคยเจอ

หอกในมือหล่นลงพื้น

เจ้าของปีกสีขาวขลับเทาหันมาตามเสียง

ทั้งคู่มองหน้ากัน

และ

ตูมม

ด้วยความตกใจ นางฟ้า(ในสายตาของเธเซอุส)เผลอตัวก้าวถอยหลังพลัดตกลงไปในแม่น้ำ ปีกส่ายไปมาด้วยตกใจ ครั้นจะขึ้นจากน้ำก็ไม่กล้าเพราะเนื้อตัวนั้นเปลือยเปล่า แต่ผิวกายที่เพิ่งจะแห้งจากการเล่นน้ำก็ทำให้รู้สึกว่าน้ำนั้นแปลกปลอม เมื่อไม่รู้จะทำอะไร เจ้าของขนปีกก็ยืนนิ่งและย่อตัวลงน้ำให้ขึ้นปริ่มลำคอเพราะความขัดเขิน เขาใช้ดวงตาสีน้ำตาลสวยจ้องเขม็งที่เธเซอุสและเอ่ยปากถามไป

“มองข้าทำไม..”พร้อมขมวดคิ้วจนขึ้นเส้นตรงที่ระหว่างหัวคิ้ว เธเซอุสจึงตอบไปว่า

“ข้ามองเพราะข้าไม่เคยเห็นนางฟ้า”

“ข้าเชื่ออย่างไม่มีข้อกังขา เพราะนางฟ้าเอาไว้เรียกเหล่าสตรี ข้าเป็นเทวดา”ตอกกลับไปอย่างไม่ทันไตร่ตรอง

“แต่ก็ตกลงมาจากฟ้าเหมือนกันใช่มั้ย..?”

“ไม่ได้ตก ข้าแค่ลงมาเอง”

เธเซอุสเลิกเล่นถามตอบกับเจ้าของร่างผอมปวกเปียกที่ไม่ยอมโผล่ขึ้นจากน้ำเกินปลายคางและเดินไปหยุดที่ริมธารตรงหน้า ผู้เรียกตนว่าเป็นเทวดาเงยหน้าช้อนตามองตาม จับจ้องคอยดูว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร

“อะไร..”เทวดาเริ่มไม่สบอารมณ์

“ข้าไม่เคยเห็นเทวดาเปียกน้ำ”ดวงตาสีน้ำเงินสดจ้องลงมาไม่ลดละทำให้คนถูกมองถึงกับต้องหลบตาผลุบต่ำมองน้ำคลื่นเล็กๆ ตอนนี้ทั้งคู่เปลี่ยนจากเกมส์ถามตอบเป็นเกมส์จ้องตา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มขุ่นคลั่กจ้องมองอย่างสนใจจนออกนอกหน้าทำเอาคนถูกมองเริ่มอยู่ไม่สุข

“เจ้ามองอะไรนักหนา”เสียงเล็กแหลมถูกส่งมาตำหนิ

“ข้าสงสัยว่าทำไมเจ้าไม่ขึ้นจากน้ำ อากาศเริ่มเย็นแล้ว”

ดวงตาสีน้ำตาลหันขวับมามองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง อยากจะอ้าปากพูดอะไรแสบๆคันๆบ้างแต่ก็ได้แค่คิดเพราะดวงหน้าคมนั้นดูหมายความตามที่พูดจริงๆ อีกทั้งยังไม่ละสายตาไปอีกทำให้เทวดานั้นจำใจต้องเอ่ยปากอย่างไม่เต็มใจ

“งั้นหยิบเสื้อผ้าข้าทีสิ ตรงนั้น”เขาบุ้ยปากไปทางผ้าคลุมกายสีขาวเนื้อบางที่พาดอยู่กับกิ่งไม้ไม่ไกล เธเซอุสเลิกคิ้ว รึที่ไม่ขึ้นจากน้ำเพราะอายงั้นเหรอ บนสวรรค์นั้นแปลกกว่าที่คิด แต่เธเซอุสเกิดในชนชั้นล่างและไม่เคยสัมผัสกับอาการเขินอายในร่างกายตนเอง คิดอีกนัยพวกชนชั้นสูงบางจำพวกเองก็มักจะไม่เปลือยกายต่อคนแปลกหน้ายกเว้นพวกนักสู้ที่เปลือยกายกันในโรงอาบน้ำอวดหุ่นกล้ามกันเป็นทิวแถว เธเซอุสคิดหาคำตอบให้ตัวเองพลางหยิบยื่นเอาของที่อีกฝ่ายต้องการให้ไป แต่เขาก็ไม่เลิกจ้องมองทำให้เทวดาจำเป็นต้องเตือนความจำ

“ไปไกลๆสิ..ข้าจะขึ้นแล้ว”เธเซอุสเลิกคิ้วอีกครั้ง แต่ก็ร้องอ้อขึ้นมาเพราะข้อสรุปที่ได้ในหัวตัวเอง

เมื่อเจ้าของขนปีกจับเอาผ้าสีขาวสะอาดห่มคลุมกายจนเสร็จ เขาช่างใจว่าจะบินจากไปเลยหรืออยู่สนทนากับอีกฝ่ายก่อนดี แต่ยังไม่ทันคิดฝ่ามือเจ้ากรรมของตนก็สะกิดเบาๆที่ไหล่คนตัวใหญ่ก่อนเสียแล้ว

“เจ้าหันมาได้แล้ว..”เขากล่าว เธเซอุสไล่สายตามองเนื้อไหล่เนียนดูลื่นมือและพราวหยดน้ำก่อนจะกลับมาที่ข้อสังเกตเรื่องการเปลือยกายของเทวดาตรงหน้าอีกครั้ง เพราะการปิดบังเรือนร่างของเทวดานั้นไม่ได้ต่างจากการเปลือยกายเลยด้วยซ้ำ หรือเป็นความอุ่นใจที่ร่างกายตนมีอะไรปกปิดอยู่บ้างกันนะ ดวงตาดุดันเขม่นมองไปตามเนื้อขาอ่อนที่ขาวผ่องทะลุผ้าเปียกๆออกมา รอยยับย่นขับเน้นทรวดทรงไปตามการขยับร่างกาย เธเซอุสรู้สึกว่าเขาเริ่มที่จะมองอีกฝ่ายตรงๆไม่ได้แล้วสิ

“เจ้าเป็นใคร..ข้าไม่เคยเห็นคนผ่านมาทางนี้เท่าไหร่”นั่นฟังเป็นคำตอบที่ว่าทำไมอีกฝ่ายดูไม่คิดอะไรกับการแต่งกาย

“ข้ามีนามว่าเธเซอุส เป็นช่างหินและกำลังเดินทางอยู่”ภายใต้ใบหน้าไม่ยินดียินร้ายของเทวดาเริ่มออกแววสนใจในคำตอบนั้น

“ข้าคือบาร์เทิลบี”

“ปกติเจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ..”เธเซอุสถามออกไป บาร์เทิลบีนิ่งคิด

“ไม่ ปกติข้า…อยู่ข้างบนนั่น”เขาชี้นิ้วขึ้นไป

“สวรรค์เหรอ ข้าไม่เคยเห็นสวรรค์ แต่ข้าเคยเห็นพวกเทพ”

“ข้าไม่เคยเห็นเทพ ข้าเคยเห็นแค่พระเจ้ากับเกรกอรี่คนอื่น”เธเซอุสเริ่มตามไม่ทัน

“พวกเราต่างมีอะไรที่จะเล่า ถ้าไม่รังเกียจอยู่เป็นเพื่อนข้าคืนนี้ได้มั้ย..?”

บาร์เทิลบีนิ่งคิด ในป่านี้ไม่มีสัตว์ร้ายทำไมอีกฝ่ายต้องการเขาอยู่เป็นเพื่อนกัน..?

“เจ้ากลัวเหรอ..? ในป่านี้ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก”เทวดาหนุ่มตอบออกไปด้วยความงุนงง เธเซอุสเผยอปากเล็กน้อย

“ไม่..ไม่ ข้าเปล่า ข้าไม่ได้กลัว แต่ข้าแค่ไม่ได้พูดคุยกับใครมานาน และเอ่อ..เจ้าเป็นเทวดา ข้าไม่เคยเห็นเทวดา..”ยังไม่ทันพูดจบประโยค

“ถ้าข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้าจะมองข้าทั้งคืนเลยงั้นเหรอ..?”บาร์เทิลบีถามพร้อมเอียงหัวไปมาน้อยๆเนื่องจากก่อนหน้าคนตัวใหญ่นี้ก็จ้องมองเขาอย่างจดจ่อเพราะเขาเป็นเทวดา

เธเซอุสยังไม่ตอบ ข้ารำพึงในใจชั่วครู่ก่อนจะสูดหายใจและยืดตัวขึ้น

“อาจใช่”เขาตอบออกไปแล้ว ใจในแกร่งเต้นตึกๆอย่างไม่มีสาเหตุและเต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆเมื่อเขาสบตาอีกฝ่ายเพื่อเร่งเร้าคำตอบทางอ้อม เทวดาหนุ่มไม่ได้ตอบเป็นคำพูด เขาแค่จ้องตอบกลับมา ซึ่งเธเซอุสที่ไม่ได้เข้าใจความหมายส่งสายตาฉงนตอบออกไป

“สัมภาระเจ้าอยู่ไกลมั้ย..?”เทวดายอมเปิดปากพูด

“ไม่ ไม่ไกลหรอก แค่ผ่านหินก้อนนั้นไป..ไม่กี่เมตร”

เทวดาหนุ่มเดินตามช่างหินต้อยๆ ทั้งคู่นั่งลงตรงข้ามกันล้อมกองไฟกองน้อยที่ส่งเสียงปะทุจากไม้ฟืนที่แตกออก แก้มของบาร์เทิลบีระคายจากความร้อนที่แผ่ออกมา เขามองเห็นดวงตาสีน้ำเงินกำลังสะท้อนสีส้มอมเหลืองอยู่ อีกฝ่ายพูดไว้ไม่ผิดเลยเรื่องที่ว่าจะมองดูเขาทั้งคืน แต่จนในที่สุดเธเซอุสก็เปิดปากทำลายความเงียบ

“เจ้ามาที่นี่บ่อยมั้ย..?”บาร์เทิลบีที่กำลังถูกขี้เถ้าที่ปลิวพริ้วในอากาศดึงความสนใจไปกระพริบตาครั้งนึงเมื่อถูกเรียกสติ เขาไม่ตอบทันทีทุกๆครั้งที่สนทนาและใช้เวลาสักครู่ในการคิด บาร์เทิลบีตอบออกไป

“ข้า..มาเล่นน้ำทุกวัน”

“ข้างบนนั่นไม่มีลำธารให้เล่นเหรอ..?”เหมือนสะกิดโดนบางอย่าง บาร์เทิลบีเปลี่ยนท่านั่ง เขากอดรวบชายผ้าสีขาวที่ปรายตามพื้นขึ้นและวางคางลงบนหัวเข่าที่กอดเอาไว้ เขามองเปลวไฟอุ่นๆก่อนจะตอบคำถามออกไป

“มีสิ..มีน้ำตกใหญ่กับดอกไม้ลอยไปทั่ว”สิ้นคำตอบ เขามองตาเธเซอุสด้วยความอยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง

“งั้นทำไมเจ้าถึงลงมา ลงมาเล่นอยู่ที่นี่คนเดียว..?”เหมือนมีก้อนขึ้นจุกลำคอ ช่างหินเชื่อว่าเขาไม่ได้คิดไปเองว่าคนตรงหน้าดูคล้ายกับมีความเสียใจห่อหุ้มรอบตัว ดวงตาสีน้ำตาลเลือกที่จะจ้องมองไปที่กองไฟแทนที่จะมองสบเขาอย่างที่ผ่านมา คิ้วเส้นเล็กๆตกลงช้าๆ ในที่สุดเจ้าของก็เลือกจะปิดมันไว้ด้วยการก้มลงชิดหัวเข่าผลุบหายไป เธเซอุสเริ่มคิดว่าเขาถามอะไรไม่ได้เรื่องออกไปซะแล้ว

“ข้ารู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนพวกเขา”ในที่สุดเทวดาหนุ่มก็ตอบออกมา

“บางครั้งข้าก็ไม่อยากทำอะไรที่ทุกคนทำ ในที่สุดข้าก็รู้สึกแปลกแยก”

“จริงๆก็คืออยู่คนเดียวแล้วสบายใจกว่า”เธเซอุสแปลกใจที่จู่ๆมุมปากน้อยๆนั้นก็ยกขึ้นยิ้มส่งให้เขาอย่างไม่รู้ตัว

“งั้น..การที่มีข้าอยู่ตอนนี้ทำให้เจ้าอึดอัดบ้างมั้ย”เป็นคำถามที่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจคนตัวใหญ่ บาร์เทิลบีหุบยิ้มแล้วคิดอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับใช้เวลาไม่นาน

“ไม่หรอก เจ้าไม่เหมือนพวกเขา..เพราะข้าไม่รู้จักเจ้า เพราะเราไม่รู้จักกัน”

เธเซอุสเริ่มสัมผัสได้ถึงความเป็นเทวดาในตัวอีกฝ่ายได้แล้วสิ.. จะว่าอย่างไรดีล่ะ ก็ดูสมกับที่เป็นเทวดาจริงๆ

.

.

.

เธเซอุสหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือพวกเขาทั้งคู่เงียบไปเพราะรู้สึกได้ว่าคุยกันจนเกินพอแล้ว ดวงตาสีน้ำเงินจับจ้องเทวดาหนุ่มไม่ละไปไหนและอีกฝ่ายก็ดูจะไม่ว่าอะไร บาร์เทิลบีเอาแต่จดจ่อกับกองไฟ ทั้งใช้กิ่งไม้เขี่ยขี้เถ้าเล่นและจ้องมองเขม่าขวันที่ลอยขึ้น

ในความฝัน ลูกธนูสีทองตรงเข้าปักที่ไฮเพอร์เรียนศัตรูตัวฉกาจ มันกรีดร้องและจมกองเลือด ชั่วครู่เขารู้สึกพอใจ เหยียบย่ำศพมันอย่างไม่ปราณี เขาหันหลังกลับเมื่อคิดว่าทุกอย่างจะจบลงและภาพต่อมาที่เห็นคือมารดาที่ไร้ชีวิตถูกล้อมรอบด้วยกองทหารกระหายเลือดของไฮเพอร์เรียน

ในที่สุด… เขาก็เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้

แล้วซุสเลือกเขาเพื่ออะไร เพื่อให้เขามาเผชิญชะตากรรมแบบนี้เหรอ

เธเซอุสกระตุกเฮือกก่อนได้สติ เหงื่ออาบทั่วตัว ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังกำชายผ้าเนื้อบางสีขาวเอาไว้แน่น เขาเงยหน้ามองเจ้าของชายผ้าที่เสียสละตักขนาดกำลังดีให้เขาหนุนนอน เขาเงยหน้ามองและดวงตาสีน้ำตาลนั้นก็จ้องตอบลงมา ดวงตานั้นดูไม่มีความหมายแต่หางคิ้วที่ตกลงกว่าเดิมทำให้เธเซอุสคล้ายกับจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ คราวนี้บาร์เทิลบีเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

“ขอโทษที่ปลุกเจ้า.. ข้าแค่คิดว่าเจ้ากำลังแย่”

“ไม่..เจ้าไม่ได้ปลุกข้า..”เธเซอุสรีบตอบกลับไป

“ข้าทำเอง..”เธเซอุสเพิ่งรู้สึกตัวว่าฝ่ามือสวยนั้นจับรอบกรามและลำคอเขาอยู่ อีกฝ่ายลูบมันช้าๆจนมาถึงขมับ

“เจ้ามีเรื่องราวของเจ้า..”บาร์เทิลบีพูดออกมาอย่างไร้จุดหมาย เขาขยับตัวเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิทก่อนจะจมอยู่กับตัวเอง เธเซอุสได้แต่มองเสี้ยวใบหน้าที่โดนกองไฟที่ใกล้มอดพาดแสงใส่สลัวๆ แล้วเธเซอุสก็หลับไปอีกครั้ง

แต่คราวนี้แตกต่างจากทุกๆครั้ง

เขาตื่นขึ้นมาตอนฟ้าสาง เป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากเมื่อคืน ดวงตาสีน้ำตาลก้มลงจ้องมองมา อากาศเย็นๆมีกลิ่นน้ำค้างทำให้เธเซอุสรู้สึกสดชื่นกับสายตานิ่งๆดูไม่ไหวติงนั้น เขากล่าวเหมือนการทักทายในยามเช้า

“เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนเหรอ..?”เทวดาหนุ่มเอียงคอมอง

“ข้านอนในเวลาที่ข้าเบื่อ แต่คืนนี้ข้าไม่เบื่อ..”เธเซอุสไม่ได้คิดไปเองว่ามุมปากบางๆนั้นยกขึ้นก่อรอยยิ้มน้อยๆขึ้นมา ใบหน้าคมดุดันรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ อีกทั้งฝ่ามือของบาร์เทิลบีเองก็ย้ายไปจับๆคลึงๆศีรษะของเธเซอุส นิ้วเรียวสวยม้วนกลุ่มผมหยักศกและลูบไล้เคราสั้นสากๆเล่น ทำเอาเธเซอุสไม่อยากขัดจังหวะอะไร

“ข้าคิดว่าอย่างข้าจะทำเจ้าเบื่อเสียอีก”เธเซอุสพูดเพื่อชวนคุย

“ไม่..ข้าไม่เบื่อ”บาร์เทิลบีตอบแทบจะทันทีและหยุดมือที่ค้างที่ปลายเส้นผม

เธเซอุสสบตากับคนที่ยังจับศีรษะของเขาอยู่ ฉับพลันก็ยกมือขึ้นกุมฝ่ามืออีกฝ่าย บาร์เทิลบีประหลาดใจแต่ก็ยังไม่พูดอะไร เธเซอุสผุดลุกขึ้นนั่ง เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าอากาศเย็นๆยามเช้าทำนิ้วสวยๆของอีกฝ่ายเย็นจนถึงโคน…ต่างจากเธเซอุส คนทั้งคู่เงียบไป เธเซอุสเองก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนทำคืออะไร เขากำลังจะอ้าปากพูด

“เจ้าคิดอะไรอยู่น่ะ…”จู่ๆบาร์เทิลบีก็โพล่งออกมา

“…?”เธเซอุสนิ่งไป เขาจะบอกว่าเขาคิดอะไรอยู่อย่างไรดีนะ แม้แต่เขาเองยังไม่รู้เลยซึ่งบาร์เทิลบีเองก็ดูไม่ได้ต้องการคำตอบเท่าไหร่

“ตอนนี้เจ้าคิดอะไรไม่บริสุทธิ์อยู่..”บาร์เทิลบีขยับเข้าใกล้และยื่นใบหน้าเข้ามา

“ข้าคิดว่าเมื่อคืนจนถึงเมื่อกี้เจ้ายังดูบริสุทธิ์อยู่..แต่ตอนนี้เจ้าไม่”บาร์เทิลบียังพูดต่อไปโดยไม่สนใจคนฟัง ส่วนเธเซอุสก็ปล่อยให้เทวดาหนุ่มพูดไปเรื่อยๆ เขาพยายามคิดตาม จนในที่สุดก็ดูเหมือนหาคำตอบของคำถามได้แล้ว นั่นทำหัวเขาหมุนติ้ว

“ข้า..ข้า..”จริงๆแล้วเธเซอุสก็ไม่ได้มีอะไรที่จะพูด คล้ายกับว่าเรียบเรียงประโยคออกมาไม่ได้ ยิ่งหัวเขามึนตึงมากขึ้นฝ่ามือกร้านก็ยิ่งกระชับแน่นตามไปด้วย

“…”บาร์เทิลบีจ้องมองพักหนึ่ง ก่อนจะคิดอะไรออก

“เจ้าอยากจับใช่มั้ย..?”บาร์เทิลบีถามขึ้นทำให้เธเซอุสคิดตามไม่ทัน

“หืม..?”เขาส่งเสียงถามในลำคอ

“นี่น่ะ!!!”

บาร์เทิลบีกางปีกออก ขยายกินพื้นที่บนอากาศเรียกร้องความสนใจจากสายตาคมคาย

“อ..อืม”เธเซอุสตอบเพื่อเลี่ยงหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้

บาร์เทิลบีขยับตัวเข้าใกล้ชิดแผงอกเปลือยเปล่าของเธเซอุสเพื่อให้อีกฝ่ายได้ลูบจับขนปีกนิ่มๆของตัวเองได้ถนัดและเธเซอุสก็ฉวยโอกาสตระกองกอดอีกฝ่าย เขาเริ่มที่จะปลอบใจตัวเองว่าความรู้สึกที่หวิวอยู่ภายในนี้ต้องเป็นผลกระทบจากเทวดาแน่ๆ บาร์เทิลบีมักจะกระพรือปีกเบาๆเมื่อถูกลูบตรงๆอย่างไม่รู้ตัว

เธเซอุสชักจะอยากอยู่แบบนี้ไปตลอดชะมัด..

“นี่..เจ้าจะไปจากที่นี่ตอนไหนกัน..?”บาร์เทิลบีถามขึ้น

เธเซอุสกลอกตานึกถึงภารกิจที่ตนกำลังเผชิญ

“ข้าคงอยู่ไม่นานหรอก..ข้าแค่แวะพักนี่นะ”

“ที่ๆเจ้าจะไปอยู่ห่างไกล แร้นแค้น แต่จะผ่านเมืองค้าทาสเล็กๆ ถ้าเจ้าตุนเสบียงพอก็จะไม่อดตายระหว่างทาง”

“เจ้าทำแบบเดียวกับเมื่อคืนเหรอ..?”เธเซอุสหันข้างทำให้ปลายจมูกเขาป่ายไปตามใบหูของบาร์เทิลบี

“ข้าเป็นเกรกอรี่นะ..ถ้าข้าอยากรู้อะไรข้าก็จะรู้”บาร์เทิลบีหันข้างสบตาชายหนุ่มช่างหิน

มันเป็นความรู้สึกเล็กๆที่กำลังถูกจุดประกายขึ้นและไม่นานมานี้เธเซอุสโทษว่าเพราะอีกฝ่ายเป็นเทวดา แต่เขาคิดว่าเขารู้

“ข้าไม่เคยศรัทธาในพลังอำนาจ..ของอะไรทั้งสิ้น”แล้วเธเซอุสก็พูดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยซึ่งบาร์เทิลบีเข้าใจเจตนานั้นได้เองจึงไม่เอ่ยปากถามอะไร

“แต่ข้าคิดว่า..ข้าถูกใจเจ้า”ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องใบหน้าของคนพูดอย่างตั้งใจ

“ทุกคนก็พูดแบบนั้นกับข้า..”บาร์เทิลบีตอบแต่ก็พูดต่ออีก

“แต่ข้าคิดว่าเจ้าต่างออกไป..”

เป็นอีกครั้งที่เธเซอุสรำพึงในใจว่าอีกฝ่ายสมกับเป็นเทวดาซะจริง

พวกเขาจากกันด้วยความรู้สึกที่เหมือนคลื่นน้ำนิ่ง การใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืนนี้ทำให้หลายครั้งเธเซอุสอยากจะขว้างภาระที่แบกอยู่ลงและนั่งอยู่ข้างๆเทวดาหนุ่มคนนั้น เมื่อหันหลังกลับไปในทุกๆก้าวเดินจะมองเห็นเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองมาเหมือนอวยพร สีขาวสะอาดดึงดูดสายตาจากแมกไม้ ไม่นานเขาก็มองอีกฝ่ายไม่เห็นเมื่อหันกลับไป

เธเซอุสคิดกับตัวเอง

เขาทำได้แค่มองเท่านั้นเหรอ..

Talk: แบ่งเป็น2พาร์ท ไม่แน่ว่าคนเขียนอาจขี้เกียจจนแอบมาต่อจบในพาร์ทดีหรือทิ้งค้างเลย(หัวเราะ)

สำหรับคู่นี้แล้ว.. ชวนฝันหน่อยๆแฮะ ชอบAUแบบนี้เจงๆ(แผล่บๆ)

สำหรับคำและเนื้อหาฝั่งภาพยนต์ ไฮเพอร์เรียนเป็นราชาที่คิดจะปลดปล่อยไททันบลาๆซุสเลยมอบหมายให้เธเซอุสไปปราบ(แก้แค้นเพราะแม่โดนกองทหารฆ่า) ไม่ได้ยกมาทั้งหมดแบบบางเรื่องเพราะขี้เกียจดู immortalบางฉากมันก็เหนือยๆง่วงๆนางเอกก็ผลุบๆโผล่ๆ

ส่วนฝั่งdogmaนั้นแนะนำว่าดูพอหวีด มุกเฉพาะทางฝุดๆ พวกแกพูดอะไรกัน!!!!? แถมเสียงพากย์ไทยก็เบาแปลกๆด้วย เกรกอรี่แปลว่าผู้เฝ้ามองมีทั้งหมด12ตน บาร์เทิลบีเป็น1ในนั้น ก็ไม่มีอะไรพิเศษแถมตอนจบก็พีคสำหรับเรามากด้วย

สุดท้ายนี้จะพยายามเข็นตอนต่อนะคะ/กราบงามๆ

[Fanfiction] (AU)Ryben [Syverson/Christian] Sooner or Later

 

“คริสเตียน..คุณเห็นกล่องเครื่องมือผมมั้ย ผมคิดว่าวางไว้ที่โรงรถ…”

ชายหนุ่มตัวใหญ่เดินไปเดินมาในสภาพเร่งรีบ หญิงสาวที่ถูกเรียกเพียงเงยหน้าขึ้นจากกองกระเป๋าและสบตาชายหนุ่ม เธอนิ่งคิด

“ฉันเห็นคุณใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันก่อน ในครัว..”เธอพึมพำออกมาน้อยๆคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่าตอบคำถามสามีของเธอ ไซเวอร์สันลูบท้ายทอยตัวเองอย่างใช้ความคิด ก่อนจะร้องอ้อดังๆให้หญิงสาวตกใจเล่น

“คุณพูดถูก ผมว่ามันน่าจะอยู่ในครัว น่าจะเป็นข้างตู้เย็น”

คริสเตียนทำเพียงแค่มองตามหลังไปอย่างเป็นห่วง อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะได้เวลาแต่ไซเวอร์สันกลับมัวแต่ทำตัวเอ้อระเหยลืมนั่นลืมนี่  ถึงแม้จะมั่นใจได้เถอะว่าลูกทีมคงจะไม่ทิ้งหัวหน้าทีมแล้วล่วงหน้าไปก่อนแต่เวลากระชันชิดแบบนี้น่าเป็นห่วงเกินกว่าที่คริสเตียนจะเพิกเฉย

“ไซ..คุณสายแล้วนะ”เธอส่งเสียงตำหนิขณะที่ไซเวอร์สันเพิ่งจะผูกเชือกรองเท้า ไซเวอร์สันทำเพียงแค่หัวเราะแห้งๆออกมา

“โธ่คุณ..ยังเหลือเวลาอยู่น่า”

คริสเตียนยิ่งขมวดคิ้วทำให้ไซเวอร์สันแทบจะผูกเชือกรองเท้าพันนิ้วตัวเอง เขาลุกขึ้นและยืดตัวจนเต็มความสูงเพื่อส่งยิ้มกว้างๆให้ภรรยา คริสเตียนเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ ดวงตาสีน้ำตาลน้อยๆนั้นฉายแววยอมแพ้กับลูกอ้อนของชายตัวใหญ่และไซเวอร์สันก็รู้จังหวะ เขาใช้อุ้งมือใหญ่ทั้งสองของตัวเองแนบจับรอบสะโพกที่เริ่มผายออกอย่างผิดสังเกตด้วยเหตุผลที่สามีภรรยาต่างก็รู้ๆกัน

“ผมต้องคิดถึงคุณมากแน่..”เขาเอียงหัวซบผมสีน้ำตาลเข้มของภรรยาแต่ก็พยายามไม่เข้าใกล้เกินไปเพราะโรคประจำตัวของเธอ คริสเตียนได้แต่ยืนนิ่งๆเป็นหลักให้ชายหนุ่มออดอ้อน ถึงแม้นิ้วมือจะเริ่มสั่นน้อยๆเพราะปฏิกิริยาตอบกลับของร่างกายแต่เธอก็ยังยืนยันที่จะเอนตัวเข้าหาความอบอุ่น ไซเวอร์สันหัวเราะเบาๆในลำคอกับความน่ารักนั้น

“คุณไปโรงพยาบาลคนเดียวได้ใช่มั้ยครับ..”คริสเตียนแอบบุ้ยปากกับคำถาม

“ฉันไม่ใช่เด็กนะ..”

“คุณไม่ใช่..”

ทั้งสองอยู่แบบนั้นพักใหญ่ก่อนคริสเตียนจะขยับน้อยๆเป็นเชิงเตือน

“คุณสายแล้วนะ..”

ไซเวอร์สันเม้มปาก

“ผมสัญญาว่าจะกลับมาให้ทันคุณคลอด..”

คริสเตียนใช้เวลาซักพักกว่าจะพูดตอบประโยคนั้น

“อย่าเลย..”

.

.

.

“แค่กลับมาก็พอ..”เธอเบี่ยงสายตาหลบพร้อมๆประโยคที่เหมือนการอวยพร

ถึงแม้จะต้องยอมรับว่าคริสเตียนเป็นคนพูดน้อย แต่ทุกคำพูดของเธอฟังจับใจ เสียงแหลมๆกับสายตาและท่าทางดูนุ่มนิ่มที่เธอทำโดยไม่รู้ตัวทำเอาไซเวอร์สันอยากจะเกษียณตัวเองแทบจะทุกครั้งที่ต้องออกหน่วย

“ครับ..”เขาขานรับเบาๆเพียงให้ได้ยินแค่สองคน

ไซเวอร์สันค่อยๆใช้นิ้วโป้งหมุนริมฝีปากบางๆนั้นก่อนจะจูบลงไปหลังจากเจ้าของส่งสายตาเป็นสัญญาณว่าอนุญาต เป็นจูบเล็กๆที่ทิ้งความรู้สึกมากมายเอาไว้ทุกครั้งที่ต้องห่างกัน

“ระวังอย่าใช้สีเปรย์ไอก้ามั่วๆอีกนะ.. ฉันไม่อยากให้มันเป็นโรคผิวหนังอีก”พวกเขายังทำตัวเหมือนมีเรื่องต้องคุยกันอีกมากมาย ไซเวอร์สันขานรับตลอดทุกครั้งและเริ่มรู้สึกว่าเขาอยากจะทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง มันเป็นความรู้สึกที่แผ่อำนาจในใจเขาทุกครั้งที่รู้ว่าจะไม่ได้สัมผัสผิวเนื้อหยุ่นๆนี้ไปอีกพักใหญ่

คนทั้งคู่เหมือนอยู่ในภวังค์ จนสุนัขตัวใหญ่ที่ถูกสั่งให้รออยู่บนรถส่งเสียงเห่าเตือนสติ

ไซเวอร์สันรู้ว่าต้องไปแล้ว

“ผมรักคุณครับ..”มันคือคำร่ำลาของไซเวอร์สัน

และคริสเตียนยิ้มน้อยๆที่มุมปากแทนคำตอบ

อา..หวังว่าเขาจะกลับมาทันนะ

ไซเวอร์สันได้แต่คิดพลางขับรถห่างออกจากตัวบ้านเรื่อยๆ

จนในที่สุดก็ไม่เห็นร่างในเสื้อเชิ๊ต…

Talk: แอบแปะรูปที่ทำให้อยากแต่งคู่นี้😂👍

ครอบครัวสุขสันต์💕

[Fanfiction] Ryben [Henry/Ben] Fetish

“เฟติชข้อเท้าเหรอ?”
เบนถามขณะที่โดนคร่อมอยู่ด้วยร่างเปลือย ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบคำถาม เบนช้อนตารอฟังคำตอบ

เมื่อเป็นเช่นนั้นเฮนรี่ก็ยิ้มแล้วใช้มือเดียวกำรอบข้อเท้าข้างซ้ายของเบนที่ถืออยู่ให้แน่นขึ้นก่อนจะยกขึ้นจูบช้าๆเนิบนาบไปพร้อมๆกับสังเกตว่าเจ้าของข้อเท้านั้นรู้สึกยังไง เบนรู้สึกแปลกใจแต่อีกนัย..ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากิริยาให้เกียรตินั้นทำให้เกิดอารมณ์วาบหวามในท้องน้อยได้ง่ายๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคลั่กของคนที่อยู่เหนือกว่ายังคงไม่ละสายตาไปง่ายๆราวกับอยากรู้เหลือเกินว่าคนถูกจ้องจะตอบโต้มันยังไง

เมื่อคนอายุน้อยกว่าดูทีเล่นทีจริงอีกทั้งยังไม่ตอบคำถามเบนจึงส่งเสียงฮึเบาๆในจมูก เขาขยับตัวเปลี่ยนมานอนคว่ำทำให้เฮนรี่จำใจต้องปล่อยข้อเท้าและน่องขาเล็กๆในมือไป

เบนที่ขยับหมอนใต้คางจนได้ที่ค่อยๆเอียงคอหันเสี้ยวหน้าลอบมองดูคนที่เอาแต่ส่งสายตาวาววับไร้ความหมาย

“ฉันเปลี่ยนใจ..ไม่เอาคำตอบแล้ว”เบนบอกปัด

เฮนรี่เลิกคิ้วสูง ก่อนจะขยับปากรูปกระจับของตัวเองขมุบขมิบ แต่ก็ส่ายหัว ซึ่งการกระทำทั้งหมดไม่ได้อยู่ในสายตาเบนเพราะเขาเมินหน้าหนีไปก่อน

จู่ๆคนข้างบนก็คลายน้ำหนักที่แขน ค่อยๆทิ้งตัวลงนาบกล้ามเนื้อแน่นแข็งของตัวเองเข้ากับร่างเจ้าเนื้ออ่อนนิ่มของอีกฝ่าย เฮนรี่จูบเบาๆที่หลังคอเบนเพื่อเรียกร้องความสนใจแต่เบนก็แส่หน้าหนีไปอีกทาง เมื่อเห็นแบบนั้นเขาก็อดหัวเราะในลำคอไม่ได้

ไม่นานเฮนรี่เหมือนคิดอะไรออก เขาจูบหลังคอนั้นซ้ำอีกครั้ง ตามด้วยหัวไหล่ ประทับริมฝีปากเป็นทางตามแนวสะบักและค่อยๆลากสัมผัสนั้นตามส่วนเว้าของทรงเอว ฝังเขี้ยวใหญ่ๆที่บั้นท้ายกลมๆ เบนอยู่ไม่สุขเมื่อปลายจมูกมนๆของคนตัวใหญ่นั้นเดินทางเป็นเส้นตรงจากช่วงของขาอ่อน อดจะชักขาขึ้นไม่ได้เมื่อมันหยุดที่หลังเข่า

“นี่!!”เบนเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญ ก่อนจะพลิกตัวหันกลับมาเผชิญกับดวงตาสีน้ำเงินที่จ้องเขาอย่างไม่วางตา เมื่อเห็นแบบนั้นก็ส่งเสียงถามอีกครั้ง

“อะไร..!?”เสียงนั้นฟังดูหงุดหงิดอีกทั้งเจ้าตัวยังขมวดคิ้วไปพลางแต่ก็ทำท่าว่าไม่อยากใส่อารมณ์ในน้ำเสียงมากไป เฮนรี่ยักคิ้วนิดหน่อยก่อนจะก้มลงจูบปิดริมฝีปากบางเชิดนั้น เสียงครางในลำคอแสดงให้เห็นว่าจริงๆคนสวยของเขาไม่ได้อารมณ์เสียใส่เขาจริงๆหรอก

เบนยกแขนโอบรอบลำคอนั้น จิกไรผมสั้นหยักศกนั้นแรงๆเมื่อเฮนรี่ใช้สองมือใหญ่ลูบไล้ตามด้านข้างของสะโพกผายและค่อยๆชักชวนให้เบนชันเข่าขึ้น

เฮนรี่เงยหน้า ยกตัวขึ้นและจูบหัวเข่าเนียนเบาๆ สิ่งที่คนตัวใหญ่ดูจะไม่ลืมคือการเพ่งมองเบนด้วยสายตาร้อนแรง

ราวกับเจ้าของกำลังพูดอยู่ว่า

‘คุณเป็นของผม..’

ตลอดเวลา

เหมือนทุกครั้งที่ชอบพูดเสมอๆ

กว่าเบนจะรู้สึกตัวอีกทีก็สัมผัสได้ถึงความร้อนข้างใต้ของอีกฝ่ายที่ค่อยๆเสือกตัวเข้ามาช้าๆ เขาพ่นลมหายใจแรงๆและถามออกไป

“จะทำอีกเหรอ..?”ทั้งที่จริงๆก็เดาคำตอบได้อยู่แล้ว

เฮนรี่หลุดหัวเราะพร้อมกับชุดฟันขาวๆของตัวเอง หลังจากนั้นก็เคลื่อนจุดแข็งตัวเองแรงๆจนสุดในครั้งเดียวเมื่อรู้สึกได้ว่ามันเข้าไปเกินครึ่ง เมื่อส่วนนั้นหายเข้าไปในตัวเบนทั้งหมดแล้วนั่นแปลว่าเขาทั้งคู่ไม่มีระยะห่างระหว่างกัน คนคุมเกมส์อย่างเฮนรี่จูบเบนเบาๆที่ข้างใบหูและกระซิบว่า

“คุณยังต้องถามอีกเหรอ..”

“เหอะ..”อดจะตอกกลับไปไม่ได้

หลังจากกระแทกไปหลายครั้งเขาก็เปลี่ยนท่า เฮนรี่ยกขาเบนข้างนึงขึ้นพาดไหล่เขาและถาม

“คุณถามว่าผมเฟติชข้อเท้ามั้ยเหรอครับ..?”

เบนช้อนตามอง

“ฉันว่าฉันบอกไปแล้วนะว่าไม่ต้องการคำตอบแล้ว”

เฮนรี่ดูไม่สนใจ เขายกมือขึ้นกำข้อเท้าหลวมๆอีกครั้ง

“ผมชอบข้อเท้าคุณนะ..”

เบนไม่ตอบแต่ก็จ้องไม่วางตา

เฮนรี่เริ่มไล่มือต่ำลง

“ชอบสะโพกคุณ..”

“เอวคุณก็ชอบ..”

“หน้าอกคุณก็ใหญ่..”

เบนเริ่มคิดแล้วว่าตัวเองไม่น่าถามอะไรเลย

เพราะเขารู้สึกได้ว่าทุกๆสัมผัสที่ลูบไล้ผ่านผิวกายเขามันระอุกว่าทุกครั้ง รู้สึกได้ว่าอะไรๆร้อนแรงขึ้นเมื่อดูจากอะไรๆที่ยังคาอยู่ข้างใน อีกทั้งดวงตาสีน้ำเงินนั้นก็ยังร้อนแรงไม่หยุดและไม่ละมันออกไปง่ายๆ

“ริมฝีปากคุณก็สวย..”

“หน้าเรียวๆคุณอีก..”

ทุกประโยคที่เปล่งนั้นมาพร้อมกับสัมผัสของฝ่ามือ เฮนรี่ลูบไล้ไปพลางหมุนวนตัวตนเขาข้างในช่องทางช้าๆกระทั่งเบนละมือที่จิกอยู่ขึ้นจับฝ่ามือที่ลูบไล้เขาและมองเจ้าของฝ่ามือนั้นดุๆ

“หยุดพูดได้รึยัง..”

เฮนรี่ยิ้มกว้างจนตาหยี ก่อนจะเริ่มจังหวะเร็วเขาก็พูดตบท้าย

“ผมว่าผมเฟติชคุณ..”